ภูมิปัญญาแห่ง “ธรรมะ ธรรมชาติ”
ในหลายๆ
บทความก่อนนั้น ได้กล่าวคำว่า “ธรรมะ ธรรมชาติ” บ่อยมากๆ
หลายท่านอาจสงสัยว่าคืออะไร? เหตุใดจะต้องกล่าวบ่อยๆ?
เพราะส่วนใหญ่เรามักได้ยินแต่คำว่า นิพพานบ้าง, ความว่างเปล่าบ้าง, เต๋าบ้าง,
ความหลุดพ้นบ้าง ฯลฯ ในบทความนี้ ขอนำมาอธิบายขยายความเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ไม่มีสิ่งที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
หลายคนพยายามค้นหา
“สิ่งที่ถูกที่สุด” ข้อเดียว เหมือนสัจธรรมอะไรสักอย่าง
เมื่อค้นพบหรือคิดว่าค้นพบแล้ว พวกเขาก็จะยึดถือเอาไว้เป็นสรณะ แล้วใส่ประจุบวกลงไป
เมื่อมีประจุบวก ก็ต้องมีประจุลบ พวกเขาก็เลยมีปฎิฆะกับธรรมะอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป
คิดว่ามันผิด มันไม่ใช่ หรือแม้กระทั่งมองว่ามันเลวร้ายก็มีครับ เมื่อก่อนคนยึดติดกับ
“นิพพาน” มากจนสุดโต่ง สมัยนี้จะเริ่มยึดติดกับ “ความว่างเปล่า” แทน
เหมือนสินค้าใหม่ที่มาแทนที่ของเก่าเพราะของเก่ามันเริ่มน่าเบื่อ
ไม่น่าสนใจแล้วนั่นเอง อาการ “คว้าจับหรือยึดจับ” สิ่งใดสิ่งหนึ่งเอาไว้นี้
ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังจมน้ำที่ไขว่คว้าจับอะไรสักอย่าง
จนหลงลืมอย่างอื่นเลยครับ
๒ ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมะอยู่แล้ว
สรรพสิ่งทั้งหลายก็คือ
ธรรมะ ธรรมชาติ ที่อิงอาศัยกัน ประกอบกันขึ้นมาเป็นผล
ทั้งหมดนี้ล้วนมาแต่เหตุ เมื่อมีเหตุเกิด ย่อมมีผลตามมา เมื่อเหตุดับลง ผลก็ดับลง
เท่านั้นเอง ไม่มีอัตตา ตัวตนของตนที่แท้จริงเลย แม้แต่ความว่างเปล่าก็ไม่มีอยู่จริง
เพราะความว่างเปล่านั้นมาจากการดับลงของความมี หากไร้ความมีเป็นเหตุแล้ว
ความว่างก็ไม่อาจเกิดได้ ดังนั้น การไปยึดสุดโต่งในธรรมตัวใด
ธรรมะฝั่งไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งความว่างหรือฝั่งความมีก็ล้วนแต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นทั้งสิ้น
ด้วยธรรมะคือสรรพสิ่ง สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรมะ การบรรลุธรรมนั้น มิใช่การทำข้อสอบปรนัยที่เราจะหาข้อที่ถูกที่สุด
แล้วตัดข้ออื่นๆ ที่เหลือทิ้งไปก็หาไม่ครับ
๓ แม้นิพพาน-ความว่างก็ไม่ควรยึด
“สัพเพ ธัมมา
อนัตตาติ” ธรรมทั้งหลายมิใช่ตัวตนของตน แม้แต่นิพพานก็ไม่ควรยึด ความว่างเปล่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปหลงใหล
หรือบ้าคลั่งกับมัน การบรรลุธรรมก็เหมือนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่สว่างรอบ
มิใช่การเพ่ง การเพ่ง คือ การรวมพลังแสงไปที่จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว
ธรรมใดธรรมหนึ่งเพียงธรรมเดียว
แต่กลับละเลยธรรมอื่นไปหมด หรือมองว่าธรรมอื่นใดนอกจากนี้คือ “ความผิด” ความไม่ใช่
ก็มี แบบนี้ คือการ “หลงยึดติดธรรมะ” ครับ ผู้บรรลุธรรมแท้จริงย่อมสว่างรอบ
ความหมายคือ การปล่อยวางธรรมทุกอย่าง ไม่ยึดติดธรรมใดธรรมหนึ่งอีกต่อไป
เรียกว่า อะไรก็ได้ อะไรก็ธรรมะหมด ไม่แบ่งแยกว่านี่ธรรมะ นี่อธรรมครับ
๔ การบรรลุธรรมก็แค่มีปัญญา
คนมีปัญญาอาจเอาตัวไม่รอดก็ได้
เพราะอะไร? เพราะอาจไม่มีแรงพอ อาจทำไม่ได้
อาจไม่มีกำลังบารมีพอที่จะเอาตัวรอดก็ได้ เข้าใจไหมครับ? คนที่บรรลุธรรมก็แค่มีปัญญาเพิ่ม
คือ “อาสวักขยญาณ” ตัวนี้คือ ปัญญาญาณตัวหนึ่งครับ มันก็แค่ปัญญาญาณตัวหนึ่งในหมื่นๆ
ปัญญาญาณ ที่สำคัญนี่ไม่ใช่สัพพัญญูญาณ
พระอรหันตสาวกจะต้องตระหนักรู้ให้ชัดว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้า แม้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์
แต่ก็แค่มีอาสวักขยญาณ ไม่ได้มีสัพพัญญูญาณเสียหน่อย จะไปรู้อะไรได้หมดละ?
ในเมื่อแสงสว่างมีแค่นี้ น้อยเหมือนหิ่งห้อย มิใช่ดวงจันทร์ ก็ต้องเจียมตัว อยู่ใน
“ธรรมวินัย” ที่ท่านให้ไว้ เพื่อเอาตัวให้รอดไงละครับ
๕ การบรรลุธรรมแค่เรื่องปกติ
ธรรมดา
เฮ้ย
อย่าบ้ามาก อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่โต ยังกะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วยังงั้น?
หลายคนชอบทำกันครับ
เมื่อรู้ว่ามีใครบรรลุธรรมก็จะมายกย่องให้สูงส่งเหมือนเทพเจ้าอย่างนั้น แท้แล้วการบรรลุธรรมก็เป็นแค่เรื่องปกติ
ธรรมดาเท่านั้นเอง ใครๆ เขาก็บรรลุธรรมกันได้มากมายก่ายกอง สุดท้าย
ผู้บรรลุธรรมก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ในโลกต่อไป ต้องกิน, ต้องนอนเหมือนคนทั่วไปน่ะละ
ไม่ใช่ว่าพอบรรลุธรรมแล้วทุกอย่างเป็นไปตามใจเราเสียหมด เทวดาฟ้าดินจะต้องมายอมเรา
เอาอกเอาใจเรา กรรมไม่มี เจ้ากรรมนายเวรเราหายหมด เฮ้ย ไม่ใช่ละครับ มันเว่อร์ไปละ
ใครเขาสอนกันยังงั้น? บรรลุธรรมแล้วมันก็เหมือนไม่บรรลุแค่มีปัญญาเพิ่มเท่านั้นแหละ
หากไม่เข้าใจธรรมะ
ธรรมชาติ จะเป็นปกติธรรมดาไม่ได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น