ภูมิปัญญาแห่ง “ธรรมะ ธรรมชาติ”




ในหลายๆ บทความก่อนนั้น ได้กล่าวคำว่า “ธรรมะ ธรรมชาติ” บ่อยมากๆ หลายท่านอาจสงสัยว่าคืออะไร? เหตุใดจะต้องกล่าวบ่อยๆ? เพราะส่วนใหญ่เรามักได้ยินแต่คำว่า นิพพานบ้าง, ความว่างเปล่าบ้าง, เต๋าบ้าง, ความหลุดพ้นบ้าง ฯลฯ ในบทความนี้ ขอนำมาอธิบายขยายความเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ

ไม่มีสิ่งที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
หลายคนพยายามค้นหา “สิ่งที่ถูกที่สุด” ข้อเดียว เหมือนสัจธรรมอะไรสักอย่าง เมื่อค้นพบหรือคิดว่าค้นพบแล้ว พวกเขาก็จะยึดถือเอาไว้เป็นสรณะ แล้วใส่ประจุบวกลงไป เมื่อมีประจุบวก ก็ต้องมีประจุลบ พวกเขาก็เลยมีปฎิฆะกับธรรมะอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป คิดว่ามันผิด มันไม่ใช่ หรือแม้กระทั่งมองว่ามันเลวร้ายก็มีครับ เมื่อก่อนคนยึดติดกับ “นิพพาน” มากจนสุดโต่ง สมัยนี้จะเริ่มยึดติดกับ “ความว่างเปล่า” แทน เหมือนสินค้าใหม่ที่มาแทนที่ของเก่าเพราะของเก่ามันเริ่มน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจแล้วนั่นเอง อาการ “คว้าจับหรือยึดจับ” สิ่งใดสิ่งหนึ่งเอาไว้นี้ ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังจมน้ำที่ไขว่คว้าจับอะไรสักอย่าง จนหลงลืมอย่างอื่นเลยครับ

ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมะอยู่แล้ว
สรรพสิ่งทั้งหลายก็คือ ธรรมะ ธรรมชาติ ที่อิงอาศัยกัน ประกอบกันขึ้นมาเป็นผล ทั้งหมดนี้ล้วนมาแต่เหตุ เมื่อมีเหตุเกิด ย่อมมีผลตามมา เมื่อเหตุดับลง ผลก็ดับลง เท่านั้นเอง ไม่มีอัตตา ตัวตนของตนที่แท้จริงเลย แม้แต่ความว่างเปล่าก็ไม่มีอยู่จริง เพราะความว่างเปล่านั้นมาจากการดับลงของความมี หากไร้ความมีเป็นเหตุแล้ว ความว่างก็ไม่อาจเกิดได้ ดังนั้น การไปยึดสุดโต่งในธรรมตัวใด ธรรมะฝั่งไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งความว่างหรือฝั่งความมีก็ล้วนแต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นทั้งสิ้น ด้วยธรรมะคือสรรพสิ่ง สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรมะ การบรรลุธรรมนั้น มิใช่การทำข้อสอบปรนัยที่เราจะหาข้อที่ถูกที่สุด แล้วตัดข้ออื่นๆ ที่เหลือทิ้งไปก็หาไม่ครับ

๓ แม้นิพพาน-ความว่างก็ไม่ควรยึด
“สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ” ธรรมทั้งหลายมิใช่ตัวตนของตน แม้แต่นิพพานก็ไม่ควรยึด ความว่างเปล่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปหลงใหล หรือบ้าคลั่งกับมัน การบรรลุธรรมก็เหมือนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่สว่างรอบ มิใช่การเพ่ง การเพ่ง คือ การรวมพลังแสงไปที่จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว ธรรมใดธรรมหนึ่งเพียงธรรมเดียว แต่กลับละเลยธรรมอื่นไปหมด หรือมองว่าธรรมอื่นใดนอกจากนี้คือ “ความผิด” ความไม่ใช่ ก็มี แบบนี้ คือการ “หลงยึดติดธรรมะ” ครับ ผู้บรรลุธรรมแท้จริงย่อมสว่างรอบ ความหมายคือ การปล่อยวางธรรมทุกอย่าง ไม่ยึดติดธรรมใดธรรมหนึ่งอีกต่อไป เรียกว่า อะไรก็ได้ อะไรก็ธรรมะหมด ไม่แบ่งแยกว่านี่ธรรมะ นี่อธรรมครับ

๔ การบรรลุธรรมก็แค่มีปัญญา
คนมีปัญญาอาจเอาตัวไม่รอดก็ได้ เพราะอะไร? เพราะอาจไม่มีแรงพอ อาจทำไม่ได้ อาจไม่มีกำลังบารมีพอที่จะเอาตัวรอดก็ได้ เข้าใจไหมครับ? คนที่บรรลุธรรมก็แค่มีปัญญาเพิ่ม คือ “อาสวักขยญาณ” ตัวนี้คือ ปัญญาญาณตัวหนึ่งครับ มันก็แค่ปัญญาญาณตัวหนึ่งในหมื่นๆ ปัญญาญาณ ที่สำคัญนี่ไม่ใช่สัพพัญญูญาณ พระอรหันตสาวกจะต้องตระหนักรู้ให้ชัดว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้า แม้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ แต่ก็แค่มีอาสวักขยญาณ ไม่ได้มีสัพพัญญูญาณเสียหน่อย จะไปรู้อะไรได้หมดละ? ในเมื่อแสงสว่างมีแค่นี้ น้อยเหมือนหิ่งห้อย มิใช่ดวงจันทร์ ก็ต้องเจียมตัว อยู่ใน “ธรรมวินัย” ที่ท่านให้ไว้ เพื่อเอาตัวให้รอดไงละครับ

๕ การบรรลุธรรมแค่เรื่องปกติ ธรรมดา
เฮ้ย อย่าบ้ามาก อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่โต ยังกะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วยังงั้น? หลายคนชอบทำกันครับ เมื่อรู้ว่ามีใครบรรลุธรรมก็จะมายกย่องให้สูงส่งเหมือนเทพเจ้าอย่างนั้น แท้แล้วการบรรลุธรรมก็เป็นแค่เรื่องปกติ ธรรมดาเท่านั้นเอง ใครๆ เขาก็บรรลุธรรมกันได้มากมายก่ายกอง สุดท้าย ผู้บรรลุธรรมก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ในโลกต่อไป ต้องกิน, ต้องนอนเหมือนคนทั่วไปน่ะละ ไม่ใช่ว่าพอบรรลุธรรมแล้วทุกอย่างเป็นไปตามใจเราเสียหมด เทวดาฟ้าดินจะต้องมายอมเรา เอาอกเอาใจเรา กรรมไม่มี เจ้ากรรมนายเวรเราหายหมด เฮ้ย ไม่ใช่ละครับ มันเว่อร์ไปละ ใครเขาสอนกันยังงั้น? บรรลุธรรมแล้วมันก็เหมือนไม่บรรลุแค่มีปัญญาเพิ่มเท่านั้นแหละ

หากไม่เข้าใจธรรมะ ธรรมชาติ จะเป็นปกติธรรมดาไม่ได้ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?