เทคนิคการมีสติเท่าทันพลังงานแฝงต่างๆ
ผู้ปฏิบัติธรรมหลายท่านมักมี
“พลังงานแฝง” ในร่างกายโดยไม่มีสติรู้เท่าทัน ไม่รู้ตัวเอง
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่เข้ามาแฝงในร่างเรานั้นจะคอย “ครอบงำ” ให้เราคิดไปต่างๆ
นานาเพื่อให้เราตกอยู่ในอำนาจของมัน เช่น ทำให้เราหลงตัวเองไม่ฟังใคร
ใครจะเตือนอะไรก็ไม่เชื่ออีกแล้ว ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ
๑ อย่าเชื่อความคิดเกินไป
หลายคนคิดว่าตนเองปฏิบัติธรรมได้ดีถูกต้องแล้ว
เพราะเชื่อความคิดตัวเองเกินไปครับเช่น คนที่มีความคิดดีๆ ทั้งยังสามารถแสดงความคิดเห็นได้เก่ง
ถกเถียงเก่ง เอาชนะคนอื่นได้เก่งอีกด้วย อันนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับผลการปฏิบัติธรรมนะครับ
ความคิดมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสัญญาขันธ์เท่านั้น
คนบางคนเกิดมาสมองดี อ่านธรรมะ เรียนรู้ธรรมะแล้วได้ความคิดดีๆ เข้าใจธรรมะมากมาย
สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากก็มีครับ ทว่า จิตวิญญาณของเขาอาจเสื่อมต่ำเป็นปีศาจ,
มาร, อสูร ฯลฯ ได้หมดเลย หลายคนที่มีความคิดดีๆ เก่งๆ
หากมองเห็นจิตวิญญาณภายในของตัวเองได้อาจตกใจ เพราะมันไม่ได้พัฒนาดีขึ้นแต่อย่างใดเลย
๒ สำรวจภายในตัวเองบ่อยๆ
“กายในกาย จิตในจิต”
นี่คือ หลักในการเจริญสติ ท่านให้ไว้อย่างนี้ หมายความว่าให้เรามีสติเท่าทัน
กายและจิตของเรา อย่าไปหลงเชื่อมันง่ายๆ คนบางคนมองผิวเผินจิตเขาดูดีมาก
แต่พอพิจารณาจิตในจิตแล้ว จิตเสื่อมต่ำมากก็มี
คนบางคนมองผิวเผินแล้วกายภายนอกน่าศรัทธาเลื่อมใสมาก แต่พอเห็นกายในกายแค่นั้นแหละ
เป็นอสูร เป็นยักษ์ ก็มี ดังนั้น ในสติปัฏฐานสี่นั้น
ท่านแนะนำให้เราพิจารณากายในกาย และจิตในจิตเพราะอะไร? เพราะเหตุนี้ มีคำกล่าว่า
“ทุกคนมีด้านมืดทั้งนั้น เพียงแต่ใครซ่อนเก่งกว่ากันเท่านั้น” บางคน “ซ่อนเก่ง”
มากๆ สามารถสร้างเปลือกนอกที่ดีงามมาทับถมความจริงไว้ได้หลายชั้นมากๆ ก็มีครับ
๓ หาอุบายให้ภายในแสดงตน
อุปมาเหมือนพวกกระเทยแอ๊บแมน
ที่ภายนอกดูแมนมาก หล่อมาก แต่พอตกใจแล้วร้องกรี๊ดเฉยเลย ความเป็นสาวก็โป๊ะแตกออกมา
ความหมายก็คือ คนเราอาจซ่อนแอบเอา “ตัวตนที่แท้จริง” ไว้ในระดับลึกของตนได้ คนทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
ต่างมีตัวตนด้านมืดกันทั้งนั้นไม่ต่างกัน
เพียงแต่ใครจะเก็บกดซ่อนไว้ได้เก่งกว่ากันเท่านั้นเอง ดังนั้น เราจะต้องหา
“อุบายให้ภายในแสดงตน” เพื่อให้ตัวเรารู้เท่าทันสิ่งที่อยู่ภายในตัวเองฮะ
เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าอาจมีตัวตนเชิงซ้อน พลังงานแอบแฝง แฝงรูปแฝงรอยมาอยู่กับเราเมื่อใด
อุบายใดที่ทำให้ภายในแสดงตัวตนออกมาได้ ย่อมทำให้เราได้สติ ไม่หลงตัวเอง
ได้รู้ว่าตนเองข้างในที่แท้เป็นอย่างไร?
๔ ทำ ให้มากกว่าคิดหรือพูด
การกระทำจะสะท้อน
“ตัวตนภายใน” ของเราได้ดีที่สุด เพราะการคิดและการพูดนั้น มันหลอกเราได้
คนเรามักจะหลอกตัวเองและคนอื่นเสมอว่าตัวเองดี
น้อยคนที่จะกล้าเผชิญหน้ากับความจริงได้ว่าเรามีตัวตนด้านมืด ด้านไม่ดีอย่างไร?
ดังนั้น เราจึงมัก
“คิดไปเอง” แล้วเข้าข้างตัวเอง แล้วก็หลอกตัวเองว่าเราดี เราไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ฯลฯ
ถ้ามีคนบอกว่าเรามีปีศาจอยู่ในตัว เราจะไม่เชื่อ เราจะเชื่อว่าเราเป็นคนดีต่างหากละ
นอกจากนี้ เรามักจะ “พูดดี” คือ ปากดีไว้ก่อน ทำไม่ดี
ตัวเองไม่ดียังไงไม่รู้แต่พูดให้ดูดีไว้ก่อน พูดเอาหล่อ แบบนี้มีมากครับ
เพราะการพูดมันง่ายกว่าการทำจริงใช่ไหมละครับ? เหตุนี้ เราจะต้องทำให้มาก
พูดและคิดให้น้อยครับ
๕
พิจารณาสิ่งที่ทำออกมาเนืองๆ
ดังที่กล่าวแล้วว่าการคิดกับการพูด
เชื่อถือไม่ได้ เราจะต้องพิจารณาจาก “การกระทำ” เป็นสำคัญครับ คนที่หลงคำพูดหวาน
วาจาไพเราะจะต้องถูกหลอก คนที่หลงเชื่อความคิดก็จะหลงตัวเองอุปทานไปเองคนเดียว
ในขณะที่ “การกระทำคือเครื่องสะท้อนตัวตนภายในของเรา” ได้จริง
หากเราพิจารณาการกระทำของเราได้บ่อยๆ เราก็จะมีสติรู้เท่าทันตัวเองได้ เช่น
เมื่อเราร้องเพลง เสียงออกมามีพลังมากแต่ดุดัน แบบนี้เป็นอะไร?
แต่บางครั้งเรากลับไม่มีพลัง ไม่มีแรงจะร้อง ใช้เทคนิคเอาตัวรอดไปเท่านั้น
แบบนี้ก็เป็นอีกอย่าง ใช่มั้ยครับ การพิจารณาสิ่งที่ทำเนืองๆ
จะได้สติเท่าทันภายในตัวเอง เพื่อที่จะได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ทันท่วงทีครับ
เพราะ “พลังงานแฝง”
มักครอบงำและกดจิตเดิมแท้ของเราไว้ภายในครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น