ความหลงโลกทั้งห้า
ความหลุดพ้นไม่ใช่ของง่าย
อย่าประมาทในธรรม จริงอยู่สำหรับพระอรหันต์อาจง่าย
แต่ไม่ได้แปลว่าจะง่ายสำหรับทุกคนไปด้วย
อย่าคิดว่าพระอรหันต์เทศน์เรื่องนิพพานดูง่าย เราไปฟังมามันง่าย แล้วเราจะมาคิดว่าเราเองก็จะได้แบบนั้นง่ายๆ
ด้วย มันไม่ใช่ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องความหลงในโลกทั้งห้า ดังต่อไปนี้
๑ โลกแห่งปุถุชน
ปุถุชนทั้งหมดติดข้องอยู่ในโลกแห่งปุถุชน
โลกแห่งปุถุชนนั้นถูกสร้างขึ้นโดยผู้ปกครองๆ ก็เหมือนคนเลี้ยงสัตว์
ปุถุชนทั้งหลายก็ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงในกรง กรงก็คือระบอบการปกครองแบบต่างๆ
นั่นเอง ภายในโลกนี้ เราจะถูกสอน, ถูกชี้นำให้คิดว่าอะไรดี อะไรชั่ว เช่น
เราต้องมีอาชีพ, ต้องหาเงิน, ต้องทำงาน ฯลฯ แต่เรากลับไม่เคยคิดได้เอง
ทำได้เองจริงๆ แม้แต่การทำงานก็ยังมี “เจ้านาย” ไม่ก็ “ลูกค้า” มาคอยสั่งใช้เสมอ
ใช่ไหมครับ? โลกของปุถุชนนี้จึงเป็นกรงขังแรกที่เราทุกคนต้องพบเจอ
ปุถุชนจะไม่คิดอะไรเกินไปกว่าการกิน, ขี้, ปี้, นอน ฯลฯ เราต้องเรียนๆ จบก็ทำงานๆ
มีเงินก็มีลูกเมีย แล้วก็เลี้ยงดูลูกเมียไป มีเท่านี้ละปุถุชน
๒ โลกแห่งความฝัน
มีคนจำนวนน้อยที่จะหลุดจากโลกปุถุชนออกมาได้
เมื่อหลุดออกมาแล้วเขาก็ไม่ได้หลุดพ้นจริงๆ เขาอาจยังติดข้องอยู่ใน
“โลกแห่งความฝัน” ของเขาเอง เช่น เขาอาจฝันว่าโลกของเขาเต็มไปด้วยคนดี
ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง มันไม่ใช่เช่นนั้น คนที่มีโลกส่วนตัว,
โลกแห่งความฝัน ย่อมไม่ชอบเปิดตัวไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพราะอะไร?
เพราะโลกแห่งความเป็นจริง เป็นความจริงที่แตกต่างออกไปจากความฝันของเขา
และมันจะทำลายความเชื่อมั่นในโลกแห่งความฝันของเขา ยกตัวอย่าง ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต,
ใช้เฟส จะสร้าง “โลกที่ตัวเองฝัน” สร้างตัวตนอย่างที่ตัวเองอยากจะเป็น ขึ้นมาในโลกไซเบอร์นั้นแม้จะไม่จริงก็ตาม
๓ โลกแห่งอุดมคติ
คนบางกลุ่มมีอุดมคติหรือแนวคิดในแบบของตัวเอง
พวกเขาจึงมี
“โลกในอุดมคติ” ของตัวเอง หรือของพวกเขาเอง เช่น โลกที่มีประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
มีการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม มีการแข่งขันเสรี ฯลฯ ทว่า โลกแห่งอุดมคตินี้
มันอาจแตกต่างจากโลกแห่งความจริงก็ได้ บางคนจึงพยายามทำให้โลกในอุดมคติของพวกเขามีจริงขึ้นมา
เช่น การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเป็นต้น
ทั้งนี้เนื่องจากอุดมคติของคนเราต่างกัน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างกลุ่มคนที่มีอุดมคติต่างกัน การติดข้องอยู่ในโลกอุดมคติจึงมิใช่ทางหลุดพ้น
แม้ว่าในอุดมคตินั้นมันจะถูกต้อง ดีงามเพียงใดก็ตาม
แต่ในโลกแห่งความจริงมันอาจไม่ใช่ ก็ได้
๔ โลกในภพหน้า
มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ปฏิบัติจิตได้ขั้นสูงมากพอที่จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ
และเขาอาจได้รู้ตัวเองว่าตนเองจะไปสู่โลกในภพหน้าอย่างไร? เช่น
บางท่านถอดกายทิพย์ได้, บางท่านตายแล้วฟื้น ฯลฯ แล้วไปเห็นสวรรค์ ไปเห็นอีกมิติหนึ่ง อีกภพหนึ่งที่ตนจะต้องไปเกิด
ถามว่าแบบนี้ดีไหม ดูเหมือนดีนะแต่เอาเข้าจริง ไม่ใช่ ยกตัวอย่างเช่น พระรูปหนึ่ง
ทำสมาธิหนักมากจนตายในกรรมฐานเลย ปรากฏว่ามีเทวทูตมารับตัวไปพรหมโลก
แต่พอรู้ตัวว่าตัวเองไปเกิดในภพหน้านั้นแล้วได้เป็นแค่ขอทานเท่านั้นเอง
ก็ขอกลับมาสร้างบุญบารมีให้มากๆ ทว่า เมื่อกลับมาทำบุญมากจริง สร้างวัดมากจริง
แต่จิตไม่อาจได้พรหมโลกอีกแล้ว นี่เพราะติดภพหน้ามากไป
๕ โลกแห่งธรรมะ
โลกแห่งธรรมะเป็นอีกโลกหนึ่งที่คนมักติดข้องกันเมื่อ
“เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม” เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมนั้นคนจะหลงติดข้องอยู่ในพระรัตนตรัยทั้งสาม
เช่น บ้างหลงพระพุทธเจ้า ไม่ได้หลุดพ้น, บ้างหลงในพระธรรม นี่ก็ไม่หลุดพ้น,
บ้างหลงในพระสงฆ์รูปหนึ่งรูปใด แบบนี้ก็ไม่หลุดพ้นเช่นกัน
แท้จริงแล้วพระรัตนตรัยก็ไม่ผิดอะไร แต่เพราะ “ใจคนเราติดชินการยึดเกาะ”
ยามอยู่ในทางโลกก็ยึดติดทางโลก จิตใจเคยชินกับการยึดติด มันแก้ไม่ได้
พอเข้ามาสู่ทางธรรมก็มายึดติดทางธรรมต่อ ยึดติดพระพุทธบ้าง, พระธรรมบ้าง,
พระสงฆ์บ้าง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะจิตใจและความเคยชินเก่าๆ ของเขาเอง เขาจึงต้องต่อสู้กับความเคยชินของตัวเอง
ความติดข้องในโลกทั้งห้านี้ เราล้วนต้องต่อสู้กับใจตัวเองทั้งสิ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น