ธรรมแห่งพระจักรพรรดิ
ในสัปปุริสธรรม
๗ นั้น ได้แก่ รู้จักเหตุ, รู้จักผล, รู้จักตน, รู้จักประมาณ, รู้จักกาล,
รู้จักบริษัท, รู้จักบุคคล ท่านได้กล่าวว่าแม้แต่พระจักรพรรดิก็มีธรรมตัวนี้อยู่ ๕
ประการ คือ รู้จักเหตุ, รู้จักผล, รู้จักประมาณ, รู้จักกาล, รู้จักบริษัท นั้นเป็นธรรมสำหรับสัตบุรุษที่น่าสนใจมาก
ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายดังต่อไปนี้
๑ รู้จักเหตุ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมีสาเหตุเป็นธรรมดา
มิได้เกิดขึ้นโดยลอยๆ
หรือโดยบังเอิญ การรู้จักเหตุนั้นทำให้เราทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งๆ หนึ่งเกิดขึ้นจากอะไร?
ซึ่งท่านสอนให้เรารู้จักพิจารณา
“เหตุแห่งทุกข์” ที่เรียกว่า “สมุทัย” เป็นสำคัญ เพราะหากเรารู้เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงได้ว่ามาจากใจเราเอง
เราก็จะไม่โทษผู้อื่น สิ่งอื่น และสามารถจัดการที่ “ใจ” ของเรา การปฏิบัติธรรมโดยเน้นที่ใจก็จะเริ่มต้นขึ้นได้
เราก็จะไม่เสียเวลาไปแก้ไขสิ่งอื่น สิ่งใดภายนอก เราจะมุ่งแก้ที่ใจของเราเองเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ เรายังจะเข้าใจหลักอิทัปปัจจัยตาที่กล่าวถึง
เหตุและผลของสิ่งต่างๆ ที่ร้อยเรียงกัน โดยความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน
๒ รู้จักผล
พุทธศาสนาสอนให้เราเป็นคนมีเหตุผล
รู้จักลำดับการเกิดของเหตุและผล สอนให้เราพิจารณาว่าหากเราก่อเหตุ ก่อกรรมอย่างหนึ่งแล้ว
เราจะได้รับผลกรรมใดตามมา? และผลที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนารวมอยู่ในหมวด
“มรรคสี่ผลสี่” ผลสี่อย่างมีอะไรบ้าง? ก็มี โสดาบัน, สกิทาคามี,
อนาคามีและอรหันตผล นี่คือผลทั้งสี่
ที่เราสามารถจะมีได้จากการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา การบรรลุธรรมมีอยู่จริง
และพระสมณโคดมได้ตรัสไว้ว่าตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรมวินัย
ก็ยังจะมีผู้บรรลุธรรมเหล่านี้ บางลัทธิสอนให้เราไร้เหตุผล ไม่มีเหตุผลอะไรเลย
เช่น สอนว่าไม่มีการบรรลุธรรมอะไรทั้งนั้น เพราะไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก
อันนี้ลัทธินิรัตตาไม่ใช่พุทธ
๓ รู้จักกาล
การรู้จักกาลเวลาที่เหมาะสมว่าเวลานี้ควรทำอะไร?
กาลอดีตคืออะไร กาลปัจจุบันคืออะไร กาลอนาคตคืออะไร? จะทำให้เราเป็นคนมีวิสัยทัศน์
บางลัทธิสอนให้เราไม่รู้จักกาลที่แท้จริง ให้เรายึดอยู่แต่ปัจจุบันเท่านั้น ผลคือ
เรากลายเป็นคนไม่มีวิสัยทัศน์ เรามองอนาคตไม่เป็น พุทธศาสนาไม่ได้สอนเราเช่นนั้นแม้จะทราบว่ากาลทั้งสามล้วนเป็นสมมุติ
แต่ท่านก็สอนให้เราเคารพสมมุติ
หยิบยืมใช้สมมุติให้เหมาะสมเมื่อเราปฏิบัติในคำสอนของพุทธ
เราจะเป็นคนมีวิสัยทัศน์, เข้าใจอดีต และรู้เท่าทันปัจจุบัน โดยไม่ยึดติดในกาลทั้งสามเลย
เราจะเป็นคนรู้จักกาลเทศะ รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร?
ไม่ใช่อยากทำก็ทำโดยไม่รู้จักคิดครับ
๔ รู้จักประมาณ
การรู้จักประมาณเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพระจักรพรรดิเพราะท่านจะต้องจัดสรรสิ่งต่างๆ
ให้แก่คนในชาติ สำหรับคนทั่วไปนั้นการรู้จักประมาณก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
เพราะการดำรงชีวิตของเรานั้น เราต้องมีความพอดีในการกระทำต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการกิน, การนอน ฯลฯ ล้วนต้องรู้จัก “ความพอดี พอประมาณ” ทั้งสิ้น
พุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักเคารพสมมุติ ไม่ปฏิเสธสมมุติ ทำให้เราปรับตัวได้ดี
ทำให้เรารู้จักประมาณความพอดีได้ เช่น บางคนคิดว่านิพพานเป็นของง่าย
นั่นอาจเพราะเขาไม่รู้จักประมาณ เขาไม่รู้ว่าการพูด, การคิด กับการปฏิบัติจริง
มันไม่เท่ากัน
เขาก็จะประมาทคิดว่านิพพานนั้นง่ายเหมือนการคิดและพูดแต่ทำไม่ได้จริง
๕ รู้จักบริษัท
การรู้จักบริษัทในที่นี้หมายถึง
“กลุ่มคน” ในรูปแบบต่างๆ เช่น สังคม, องค์กร, ประเทศชาติ นั่นเอง
เพราะคนเรานั้นย่อมมีความเหมือนความต่างอันเนื่องมาจากการมีกลุ่ม มีสังคม มีองค์กร
เช่นนี้ เช่น คนไทยอาจไม่กระตือรือล้นเท่ากับคนญี่ปุ่น, คนจีนอาจขยันมากกว่าคนไทย
เป็นต้น การเข้าใจกลุ่มคนที่มีความเหมือนและต่างกันนั้น
จะทำให้พระจักรพรรดิปกครองประชาชนได้ดี เพราะจะทำให้เข้าใจคนกลุ่มใหญ่ๆ ได้
ทำให้จัดสรรทรัพยากรหรือออกนโยบายที่เหมาะสมกับคนกลุ่มนั้นๆ ได้ดี
พุทธศาสนานั้นไม่ได้สอนให้เราเอาแต่แก่นแล้วปฏิเสธสมมุติไปหมด
แต่สอนให้เราปรับตัวให้เข้ากับสังคมโลกให้ได้ เหมือนหยดน้ำบนใบบัวนั้นๆ
ทั้งห้าประการนี้เป็นคุณธรรมตามสัปปุริสธรรม ๗
ที่จักรพรรดิพึงมีครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น