ปัจจัตตัง ไม่ใช่การรู้ไปเองคนเดียว




หลายคนชอบอ้างคำว่า “ปัจจัตตัง” เพื่อจะบอกคนอื่นว่า “ฉันรู้ของฉันเองได้ คนอื่นจะมารู้ดีกับฉันได้ยังไง” อันนี้แสดงว่าไม่เข้าใจว่าสัจธรรมมีความเป็นสากล แถมยังหลงในอัตตาตัวตน แบบไร้ทางเยียวยาเพราะปิดกั้นไม่ให้ใครเขาตักเตือนเลย ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความในเรื่องนี้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ดังต่อไปนี้

สัจธรรมเป็นเรื่องสากล
ผู้ที่บรรลุเหมือนกันก็จะเข้าใจในสิ่งเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่อง “กูรู้ของกูคนเดียว” ไอ้การรู้ไปเองคนเดียวนั้นมิใช่ปัญญาญาณแบบปัจจัตตัง แต่มันคือ “อัตตา” ฮะ คือ ตัวกูรู้ ใครอย่ามาบอกกู อย่ามาเตือนกูๆ ไม่ฟังทั้งนั้น อันนี้ไม่ใช่การหลุดพ้นอะไรเลยนะ อัตตาล้วนๆ เพราะสัจธรรมนั้นเป็นเรื่องสากล ไม่ใช่เรื่อง “ตัวกูของกู” อยู่คนเดียวแบบนั้น คำว่าสัจธรรมสากลก็คือ เรารู้ได้ คนอื่นเขาก็รู้ได้เหมือนกัน เขาหยั่งถึงจิตเราได้เหมือนกัน เพราะจิตเป็นธรรมะ ธรรมชาติ เมื่อเราเข้าถึงสัจธรรมแห่งจิต เราก็เข้าถึงความเป็นสัจธรรมสากล ดังนั้น เขาและเราก็รู้จิตกันได้ไม่ต่างกัน ใครที่มาพูดว่าฉันรู้ของฉันเองเป็นปัจจัตตัง ไม่มีใครมารู้จิตฉันได้ นี่อัตตาแล้ว    

ปัจจัตตังไม่ใช่การรู้คนเดียว
พระอรหันต์ทั้งหลายรู้สิ่งเดียวกัน พระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้สิ่งเดียวกัน ดังนั้น จึไม่มี “การรู้ไปเองคนเดียว” ที่หลายๆ คนมักหลง มักคิดว่าฉันรู้ของฉันดี คนอื่นจะมารู้ดีกว่าฉันได้ยังไง? อันนี้ เขาเรียกว่าอัตตา อีโก้ และความหลงตัวเองครับ ที่แย่กว่านั้นคือไอ้พวกคิดว่าตัวเองรู้อยู่คนเดียวนี่ มักเกิดจาก “ไปอ่าน ไปฟังของคนอื่นเขามา” เออ มันบ้าไหม? มันไปอ่าน ไปฟังของเขามา แล้วมันมาบอกว่ามันรู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่มารู้ดีกับมันได้ด้วย ฮ่าๆๆ ปัจจัตตังหมายถึงการรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ไม่ได้หมายถึงเรารู้คนเดียว คนอื่นก็รู้ได้เช่นเราครับ ดังนั้น พระอรหันต์ก็รู้และตรวจสอบเราได้ว่าเราใช่จริงหรือเปล่า? ไม่ใช่ไปมโน โมเมเอาเองคนเดียวได้

จิตเป็นอนัตตา เป็นสิ่งสากล
คนที่หลงคิดว่าใครจะมารู้จิตรู้ใจฉันได้ดีกว่าฉันไม่มี นี่คือ “อัตตา” เต็มๆ เลย เพราะจิตจริงๆ มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวกูของกูแต่แรกแล้ว มีแต่ความหลงตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้คิดไปว่าจิตมันเป็นตัวกูของกู ใครก็มารู้ดีกับกูไม่ได้ใครจะมารู้จิตรู้ใจกูไม่ได้อันนี้ตลกมาก เราคิดอะไร จิตเราเป็นยังไงนี่เทวดาบนสวรรค์เขารู้หมด ปิดไม่ได้เลย คิดชั่วแค่ไหน ปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้เท่าใด เชื่อไหม เทวดาข้างบนเขาดูออก เขารู้หมด ไม่ต้องมาตอแหลโกหกเขาได้เลย เขาจดไว้หมดใครคิดดี คิดชั่ว ทำกุศล อกุศล หลอกกันไม่ได้ ปกปิดก็ไม่ได้  ใครที่ยังคิดซ่อน คิดปกปิดจิตที่คิดชั่วร้ายนี่คือ ยังอนุบาลมาก ยังไม่เข้าใจเรื่องจิตอีกหลายขุม ยังอัตตาหนาอยู่เลย

๔ ผู้เข้าถึงอนัตตาไม่มีความลับ
เมื่อเขาไม่หลงในตัวกูของกูแล้ว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งแล้ว เขาจะต้องมีความลับ ปกปิดสรรพสิ่งอีกทำไม? เขาไม่มีแล้ว แต่คนที่ยังมีตัวกูของกูอยู่ ย่อมมีความลับ ย่อมไม่อยากให้คนอื่นรู้ ก็จะพูดว่าใครจะมารู้จิต รู้ใจฉันดีกว่าฉันได้? นี่มันจะคิดอย่างนี้ เพราะอำนาจของอัตตา ตัวกูของกูเท่านั้นเอง นี่ไม่ใช่ “สภาวะอนัตตา” เลยนะ คนที่เขาไม่ยึดตัวกูของกูนั้น เขาไม่กลัวหรอกว่าใครจะมารู้จิต รู้ใจ หรือรู้เรื่องตัวเอง ก็ด้วยเขาไม่ยึดตัวตนของตนแต่แรกแล้ว แต่คนที่ยึดตัวกูของกูอยู่นั้น มันจะกลัวว่าคนนั้นคนนี้จะมารู้จิตรู้ใจมันได้ เดี๋ยวจะรู้ว่ามันแอบทำชั่วไว้อย่างไรบ้าง เป็นของเก๊ ตัวปลอมยังไง? มันก็เลยต้องแบ่งกั้นตัวเขา ตัวเราไงละ

๕ ปัจจัตตังต้องมีอนัตตาเป็นฐาน
ไม่ใช่มีอัตตา ตัวกูของกูเป็นฐาน หากมีอัตตาตัวกูของกูเมื่อไร เมื่อนั้นก็ไม่ใช่ธรรมะ มันมีแต่อวิชชาก็เท่านั้น แล้วมันจะกล่าวเรื่องปัจจัตตังได้ยังไง? การจะกล่าวเรื่องปัจจัตตังได้ต้องเข้าถึงสภาวะอนัตตาได้ก่อน ไม่ใช่ยังยึด ยังหลงอัตตา ตัวกูของกูอยู่เลย แล้วอ้างปัจจัตตังไปทั่ว แบบนั้นไม่ใช่ ปัจจัตตังนั้น เรารู้เขาก็รู้ได้ มิใช่มีแต่เรารู้อยู่คนเดียวหรอก ระดับสูงๆ นั้น ท่านไม่ต้องพูดกันมากความ เพราะท่านรู้จิตรู้ใจกัน เขารู้เรา เราก็รู้เขา เพราะมีระดับจิตพอๆ กัน แทบจะมีจิตเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยซ้ำ เพียงแต่สำแดงออกมาผ่านรูปนามอันต่างกันไปตามบทบาทหน้าที่เท่านั้นเอง สภาวะแบบนี้คือ “อนัตตา” ไม่ใช่ความว่างเปล่านะ คนละเรื่องกัน

อย่าเอาคำว่า “ปัจจัตตัง” ไปใช้อ้าง หากยังไม่ถึงภาวะอนัตตาครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?