อ่านธรรมะแล้วไม่รู้คือมีสติ




หลายคนอ่านหรือฟังธรรมะแล้วเกิดความเข้าใจแต่ไม่ใช่การตรัสรู้เอง ทว่า เมื่อเกิดความเข้าใจแล้วก็มักจะหลงตัวเองว่าตัวเองรู้ได้เองแล้ว ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่การรู้เอง แต่มันเป็นการรู้โดยไปอ่านเอา ไปฟังของเขามา นี่ เดี๋ยวนี้มีแบบนี้เยอะมาก ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความในเรื่องนี้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ดังต่อไปนี้

อ่านธรรมะแล้วรู้ คือ หลง
เพราะอะไรครับ? เพราะธรรมะทั้งหมดนั้นเป็นธรรมที่พระสมณโคดมท่านตรัสรู้ ไม่ใช่ความรู้เราเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเราอ่านแล้วเข้าใจ เราจะประมาทในธรรม หลงคิดว่าเรารู้แล้ว ตรงนี้ละครับที่เรียกว่าหลง คือ เราไปหลงคิดว่าการอ่านแล้วเข้าใจคือการตรัสรู้ แล้วคิดว่าเราเก่งที่รู้เช่นนั้นได้ เพราะอะไรละ? เพราะเราเคยเรียนหนังสือแล้วโง่มาก่อน อ่านไม่เข้าใจเลย พอมาอ่านธรรมะแล้วเข้าใจ เลยคิดว่า “คราวนี้กูรู้แล้ว กูเก่งแล้วละ” นี่ละครับ มันจะไปตรัสรู้ห่าอะไรของมันได้ มันแค่ไปได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านของเขามาทั้งนั้น มันเป็นอนัตตาทั้งนั้น แต่พอเข้าใจปั๊บ มันยึดติดเป็นตัวกูของกูทันที หลงรู้ หลงว่ากูรู้ทันที นี่เรียกว่าไม่มีสติ

๒ อ่านธรรมะแล้วไม่รู้ คือ มีสติ
แล้วคนที่มีสติละ เวลาอ่านธรรมะแล้วเขาเป็นอย่างไร? เขาก็จะมีสติตื่นแจ้งขึ้นมาได้ว่า “โอหนอ เรานี้ช่างโง่นัก เราไม่อาจตรัสรู้ได้อย่างนี้เลย เรายังห่างจากพระพุทธเจ้าอีกไกลนัก” นี่เพราะเขามีสติ เขาจึรู้เท่าทันตนได้ว่าตนนี้ยังไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้รู้แจ้งอย่างพระสมณโคดมนี้เลย เรานี้ยังไม่ได้รู้อะไรเช่นนี้เองบ้างเลย เรานี้ช่างโง่นัก นี่แหละ เขาเรียกว่ามีสติ เซนเขาเลยบอกว่า “ศิษย์โง่มาเรียนเซน” ทำไมเขาเรียกให้ศิษย์โง่ไปเรียนละ ศิษย์ฉลาดเขาไม่เอาหรือ? แน่นอน เขาไม่เอาครับ ไอ้พวกฉลาดนี่คือพวกหลงตัวเอง ไปไกลๆ เลย ส่วนพวกโง่นี่คือรู้ตัวเองว่าตัวเองโง่ เรียกว่าคนมีสติครับ ดังนั้น ธรรมะบางอย่างจึต้องเขียนให้อ่านเข้าใจได้ยากไว้

อ่านธรรมะแล้วเอาไปดัดแปลง
มีคนอีกพวกที่หลอกตัวเองและคนอื่นๆ ว่าธรรมะนี้ฉันคิดได้เอง ด้วยการอ่านหรือฟังธรรมะจากไหนมาก็ช่าง จากนั้นเขาจะไปคิดใหม่ แต่งเติมใหม่ ดัดแปลงใหม่ ให้กลายเป็นของตัวเอง เหมือนคนไทยที่รับวัฒนธรรมจากต่างชาติมาแล้วดัดแปลงเป็นของตัวเองน่ะละ แบบนี้ไม่ใช่การตรัสรู้นะครับ นี่เรียกว่าการดัดแปลงครับ แต่ถามว่ามีคนแบบนี้เยอะไหม? ตอบได้เลยว่าเยอะมากๆ และน้อยคนมากที่จะรู้ตัวเองว่าตนเองไม่ได้ตรัสรู้ แต่ใช้การดัดแปลงธรรมะที่ไปอ่าน ไปฟังมาจากคนอื่นอยู่ สังเกตุง่ายๆ พวกนี้จะมีธรรมะที่อิงกับของคนอื่นแต่อาจอิงเชิงบวกหรือลบก็ได้ เช่น กล่าวในเชิงตรงข้าม ก็คือ การอิงของเขามาแล้วพูดให้ตรงกันข้ามไปครับ

๔ การรับรู้ไว้เฉยๆ แต่ไม่ได้รู้อะไร
“รับรู้ไว้เฉยๆ นะ แต่ฉันไม่รู้อะไรด้วยหรอก” แบบนี้ละครับ การรับรู้ที่มีสติ คือ รู้ว่าตนเองแค่รับรู้ แต่ไม่ได้รู้ว่าสิ่งนั้นจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่? ถูกหรือผิด? จริงหรือเท็จ? ใช่หรือไม่ใช่? โอ้ย ไม่รู้ด้วยหรอก แค่รับรู้ไว้เฉยๆ เท่านั้นละ แบบนี้เรียกว่ารับรู้อย่างมีสติ หากเราขาดสติปั๊บ ไอ้ตัว “กูรู้” มันจะทำงานทันทีเช่น กูรู้ละ ไอ้นั่นคือถูก ไอ้นี่คือผิด ไอ้นั่นคือดี ไอ้นี่คือชั่ว ฯลฯ นี่ละ อาการของ “อัตตาตัวตนผู้รู้” มันทำงาน นี่มันไม่ใช่จิตนะ มันเป็นสังขาร ปรุงแต่งไปเอง อุปทานไปเอง คิดไปเองว่า “กูรู้” อัตตามันก็เลยเกิด ไอ้ที่จิตรู้จริงๆ มันก็แค่ “รับรู้ไว้เฉยๆ นะ ว่าแกพูดอะไร แต่ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไงจริงๆ” นี่ละ รู้ซื่อๆ รู้ใสๆ รู้แบบจิตประภัสสร

การหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณ
จิตไม่ใช่ทำได้แค่รับรู้ การรับรู้เป็นกระบวนการที่ผ่านอายตนะต่างๆ เป็นเรื่องของรูปนาม แต่การหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณนั้นไม่ใช่เรื่องรูปนาม รูปนามมันดับหมดแล้ว ญาณจึพัฒนาก้าวหน้าไปหลายขั้นได้ เมื่อนั้นจะถึงขั้นที่สามารถหยั่งรู้บางอย่างได้เอง นี่เรียกว่า “ปัญญาญาณ” การหยั่งรู้แบบนี้ จิตมิได้ไปรับรู้อะไรเลย มันเหมือน “ปิ๊งแว้บ” ขึ้นมาเองอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้ไปรับรู้ ไปเห็นอะไรสักหน่อยเลย เห็นไหมว่ามันแตกต่างจากการรับรู้ การไปอ่าน ไปฟังธรรมะมาจากไหน มันไม่ได้มาจากไหนทั้งนั้น แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมเมื่อใด ก็จะมีความเป็นสากลเมื่อนั้น เรามิได้รู้แบบนี้ผู้เดียว พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าอื่นๆ ท่านก็รู้ไม่ต่างจากเราด้วย

หลายคนยังไม่มีสติรู้ตัวเสียทีว่าตนเองไม่ได้รู้แจ้งอะไรเองเลยครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?