มิติคู่ขนาน จักรวาลคู่ขนาน




ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เพราะมนุษย์มีขีดจำกัดในการรับรู้ เมื่อรับรู้มิติที่ไม่เคยมองเห็นก็จะเข้าใจว่ามีอีกมิติหนึ่ง ดังนั้น คำว่ามิติก็ดี จักรวาลคู่ขนานก็ดี ก็คือ “สมมุติบัญญัติ” ในการอธิบายถึงบางสิ่งที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนแล้วเรามารับรู้ได้ภายหลัง ก็เท่านั้นเอง ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้

ทำไมมนุษย์จึไม่รับรู้ถึงอีกมิติ?
เพื่อให้การดำรงอยู่ของจิตที่มีระดับต่างกัน สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้ในจักรวาลนี้ ไม่มีปัญหา ธรรมชาติจึออกแบบให้มนุษย์มีอายตนะในการรับรู้จำกัด รับรู้ได้เฉพาะในมิติที่ตนควรรู้เท่านั้น เหมือนการทำงานในบริษัท หากเราเป็นแค่พนักงานธรรมดา เราจะได้รับข้อมูลระดับเดียวกับผู้บริหารไหมครับ? ก็ไม่ นั่นละ คือ เหตุผลที่มนุษย์มีอายตนะที่จำกัดรับรู้ได้เฉพาะในมิติที่ควรรู้เท่านั้น หากมนุษย์รู้ว่ามีสวรรค์ที่ดีกว่าโลกนี้อยู่ พวกเขาจะคิดอย่างไร? พวกเขาอาจไม่สนใจสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่สนใจหน้าที่การงานทางโลก และอยากจะไปอยู่บนสวรรค์แทน ดังนั้น สังคมก็ต้องวุ่นวาย ยุ่งเหยิงเป็นแน่ ดังนั้น จักรวาลจึต้องคุมมนุษย์ไว้ไงละครับ

๒ มนุษย์จะรับรู้ถึงอีกมิติได้เมื่อไร?
แม้ว่าจักรวาลจะออกแบบให้จิตระดับชั้นต่างๆ มีอายตนะในการรับรู้ที่ไม่เท่ากันและรับรู้ได้จำกัดเพียงมิติที่ควรรู้เท่านั้น ทว่า ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น นั่นคือ หากมนุษย์เลื่อนระดับจิตของตนได้สูงขึ้นเมื่อไร พวกเขาจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกมิติได้  เช่น เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมจนสำเร็จได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เราก็สามารถที่จะเห็นอีกมิติได้ การมองเห็นอีกมิติได้นั้นอาจนำปัญหามาให้คุณได้ เช่น ถ้าคุณรู้เห็นว่าคนที่คุณรักนั้น ในอดีตชาติคือคู่อาฆาตที่ฆ่ากันตายมาก่อน คุณจะรับได้ไหม? ดังนั้น ใจของคุณต้องพร้อมรับมัน จิตของคุณต้องเลื่อนระดับสูงพอที่จะรับรู้ความจริงที่เหนือกว่าเดิมได้ หากคุณไม่พร้อม จิตไม่สูงพอ คุณอาจเป็นบ้าได้

มิติคู่ขนาน จักรวาลคู่ขนานคือ?
มนุษย์ไม่ได้อยู่อย่างเดี่ยวโดด ตรงข้าม เราเชื่อมโยงกับตัวตนหลากหลายมิติของเราได้ เพียงแต่ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เพราะอะไร? เพราะหากเราทำอะไรลงไปโดยที่ไม่สนใจผลกระทบต่อมิติอื่นๆ เลย จักรวาลจะเป็นอย่างไร? ก็อาจได้รับผลกระทบจนยุ่งเหยิงไปหมด ใช่ไหม? ดังนั้น ความเชื่อมโยงกันของตัวตนหลากหลายมิติกับเราจึต้องมี เช่น เมื่อเราเลื่อนระดับสูงขึ้น อาจมีตัวตนเบื้องบนของเราที่เคยอยู่ระดับสูง ระดับนี้ ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์บ้างก็ได้ เรียกว่าเป็นตัวตายตัวแทน สลับที่กันเท่านั้นเอง มิติคู่ขนานจักรวาลคู่ขนานจึได้รับผลกระทบเสมอ เมื่อส่งผลถึงกันจึต้องสมดุลกัน เหมือนสองข้างของตาชั่ง ดังนี้ สองมิติจึคู่ขนานกัน

๔ ทุกมิติจะมีสิ่งหลอกล่อให้ดำรงอยู่
อุปมาเหมือนเราเลี้ยงควาย เราต้องมีสิ่งหลอกล่อให้ควายยอมให้เราเลี้ยงและอยู่เป็นควายเช่นนั้นต่อไป เราก็จะให้เขานอนในคอก ให้หญ้าเขากิน ทั้งๆ ที่จริงเขาไม่ต้องมีคอกก็ได้ แถมหาหญ้ากินเองก็ได้ สิ่งหลอกล่อย่อมมีทุกมิติเพื่อดักทางให้จิตทั้งหลายดำรงอยู่ในมิติต่างๆ มิติเหล่านี้เหมือนลูกโป่งหากไร้ลม ก็ยุบหายไป สรรพจิตทั้งหลายก็เหมือนลมที่อยู่ในลูกโป่งเท่านั้นเอง มนุษย์ทั้งหลายจึถูกหลอกล่อด้วยเงินทอง, บ้านหรู, รถยนต์, มือถือ, อำนาจ, บริวารรับใช้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคในการเลื่อนระดับของเราแต่เราเองน่ะละที่สอบไม่ผ่าน หลงติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แล้วไม่อาจเลื่อนระดับสูงขึ้นได้ การจะหลุดพ้นได้จึต้อง “สละ” ครับ

จิตที่ตื่นแล้วเหมือนนกที่บินออกจากกรง
จิตนั้นจะมีระดับที่สูงขึ้นและเลื่อนไปดำรงอยู่ในระดับมิติที่สูงขึ้นต่อไป มิใช่ว่าพอเราตื่นแจ้งแล้วจะนิพพานหายวับไปเลยนะ ไม่ใช่ มันแค่เลื่อนระดับเท่านั้นเอง และมันมีหลายระดับชั้นมากๆ ไม่ใช่ว่าเราเลื่อนระดับเดียวแล้วนิพพานเลยได้ที่ไหนละ เมื่อเราหลุดพ้นจากมิติต่ำๆ เราก็เลื่อนไปสู่มิติที่สูงกว่า เราไม่อาจปฏิเสธมันได้ทันทีทันใดตามใจเรา เพื่อที่จะเลื่อนระดับให้ได้เร็วๆ ไม่ใช่ เราจะต้องดำรงอยู่ในระดับใหม่ที่สูงกว่านี้ก่อน เราต้องเล่นเกม แสดงบทบาท และเคลียร์พลังงานตัวเราเองก่อน แล้วเราจึจะผ่านด่านนี้ไปได้ มิตินี้ไปได้ ดังนั้น มิติใหม่ๆ จะมีสิ่งหลอกล่อรอเราอยู่เสมอ เราจะปฏิเสธรวดเดียวไปหมดทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้

พลังงานเก่าของเราที่อยู่ในมิติต่างๆ ก็รอให้เราไปเคลียร์อยู่ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?