บ่วงความคิดที่ขวางกั้นการยกระดับ




หลายท่านได้ยินได้อ่านเรื่องการเลื่อนระดับมาแล้ว และหลายคนมักไปอุปทาน คิดเข้าข้างตัวเองว่าตนผ่านการเลื่อนระดับแล้ว ทว่า ไม่จริงเลย หลายคนยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้เลื่อนระดับสูงไปไหนเลย เพราะมีบ่วงขวางกั้นการเลื่อนระดับอยู่มากมาย และไม่อาจสละหรือหลุดพ้นจากบ่วงเหล่านั้นได้ ดังจะอธิบายต่อไปนี้ครับ

๑ การทำงาน
หลายคนติดบ่วงความคิดว่า “ถ้าไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน?” ใช่ไหม? นั่นละ ความคิดแบบทางโลก ทว่า ในทางธรรมเขาไม่สนใจตรงนั้นเขาสนใจ “การทำกิจคั่งค้างให้จบ” นะครับ มันมีหลักการอยู่ว่ามนุษย์นั้นอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน แต่ที่เราต้องทำงานมากมายนั้นเพราะเรากำลังชำระบาครับ ชำระบาปหมดเมื่อไร ก็ไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงินอีก แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำอะไรเลยครับ เราจะทำสิ่งที่เรียกว่า “กิจ” กิจคืออะไร? คืออะไรที่เราลงมาเกิดในโลกนี้เพื่อที่จะทำมัน แต่เราอาจหลงลืมหน้าที่ของตนเองไป เพราะถูกทางโลกชี้นำให้ต้องมี ต้องได้ ต้องเป็น สังคมหล่อหลอมและสอนเรามาแบบนี้ โดยที่ไม่มีใครตรัสรู้แจ้งจริงเลยสักคนครับ

๒ รายได้-เงินทอง
หลายคนติดบ่วงความคิดแบบโลกๆ ว่า “ไม่มีเงินไม่ได้ จะต้องมีเงิน” ทว่า พระสงฆ์กลับถูกสอนให้อยู่โดยไม่มีเงินครับ มีศีลห้ามรับเงินทองด้วย เพราะความจริงแล้วเงินเป็นแค่ “ของใช้” อย่างหนึ่งของมนุษย์ ไม่ได้ต่างอะไรกับของใช้อื่นๆ เช่น มีด, จอบ, เสียม ฯลฯ แต่เพราะเงินเป็นสิ่งที่ใช้ง่าย เมื่อเราใช้มันจน “เสพติด” เราก็จะขาดมันไม่ได้ เหมือนคนที่ติดยาเสพติด ชายกล่าวเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าห้ามมีเงิน แต่บอกชัดเจนว่าเงินคือของใช้อย่างหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับของใช้อื่นๆ แต่เมื่อใดที่เราเสพติดการใช้เงิน เราจะเกิดบ่วงความคิดว่าเราต้องมีเงิน ไม่มีเงินไม่ได้ คุณครับ ตั้งสติดีๆ บางครั้ง เราก็ไม่ได้ใช้เครื่องมือทุกชิ้น ทุกวัน จริงไหมละครับ

๓ ตำแหน่ง-อาชีพ
หลายคนติดบ่วงความคิดว่า “เราจะต้องมีอาชีพ ไม่มีไม่ได้” จริงๆ แล้วอาชีพเป็นแค่หัวโขนๆ หนึ่งเท่านั้นเอง มนุษย์สามารถอยู่ได้โดยไม่มีอาชีพอะไร แต่เราถูกหลอกว่าจะต้องมีอาชีพ ไม่มีไม่ได้ เพราะระบบสังคมชี้นำให้เราต้องเป็น “ตัวตนอะไรสักอย่าง” จนเราลืมไปว่ามนุษย์แท้ๆ แต่เดิมมาอยู่กันอย่างไร โดยไม่ต้องมีอาชีพ ถามว่าพระทำอาชีพอะไร พระก็ไม่มีอาชีพหรอกครับ แต่พระก็อยู่ได้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้มนุษย์ในโลกรู้ว่าการดำรงอยู่ของมนุษย์นั้น ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพก็ได้ ทว่า บางคนหลงลืมความเป็นมนุษย์ไปเพราะไม่ยอมถอดหัวโขนก็มี บางคนเป็นเจ้านาย เป็นลูกค้า ทำตัวเป็นพระเจ้า จนลืมไปว่าคนอื่นก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา

การมีครอบครัว
หลายคนติดบ่วงความคิดว่า “ต้องมีครอบครัว ไม่มีไม่ได้” อายเขา เขามีกันหมดแล้ว อยากมีอย่างเขาบ้าง เห็นเขามี เราไม่มี เหมือนมีปมด้อย จริงไหมครับ? จริงๆ แล้วครอบครัวเป็นสิ่งสมมุติที่สังคมสร้างขึ้นเพื่อให้ชายและหญิงที่ทำหน้าที่สืบพันธุ์กัน ได้ดูแลรับผิดชอบลูกที่เกิดมา เท่านั้นเอง มนุษย์ต่างจากสัตว์ที่สืบพันธุ์กันโดยไม่ต้องมีครอบครัว ทว่า มนุษย์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่สืบพันธุ์แบบสัตว์ก็มี เช่น พระ ไม่จำเป็นต้องมีลูกเมีย ไม่จำเป็นต้องมีครอบครัว หลายคนไม่อาจอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องมีลูกเมีย ไม่งั้นจะรู้สึกขาดหาย แกว่งจนพล่านไม่อาจอยู่กับที่ได้ ใจไม่นิ่ง เหมือนว่าวสายขาด บางคนเตลิดเปิดเปิงไปหากไร้ครอบครัวก็มีครับ

๕ การยอมรับจากสังคม
หลายคนติดบ่วงการยอมรับจากสังคม มักคิดว่า “ทำอย่างไรให้สังคมยอมรับ” หากสังคมไม่ยอมรับ อาจจะอยู่ไม่ได้ อะไรแบบนี้ แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมและสัจธรรมความจริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสังคมหรือการได้รับการยอมรับจากสังคมอะไรเลยครับ เพราะสังคมไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้สัจธรรมความจริงอะไรได้? สังคมก็แค่หล่อหลอมให้เราอยู่ร่วมกันได้แบบใดแบบหนึ่ง สังคมที่ต่างกัน จะมีบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกันในแบบที่ต่างกันไปอีกด้วย หลายคนติดบ่วงว่าจะต้องได้รับการยอมรับจากสังคม หรือมีคนมายอมรับมากๆ จะต้องมีลูกศิษย์ลูกหา หรือคนล้อมหน้าล้อมหลัง สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่ขวางกั้นการเลื่อนระดับมากกว่าครับ

ทั้งห้าประการนี้คือตัวอย่างของเครื่องขวางกั้นการเลื่อนระดับครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?