พลังความไม่เชื่อที่เหนือกว่าพลังแห่งความเชื่อ
หลายท่านเคยอ่านเรื่อง
“พลังแห่งความเชื่อมั่น” มาแล้ว ทว่า
หลายท่านอาจไม่ทราบว่านอกจากพลังแห่งความเชื่อมั่นแล้วยังมีพลังแห่งความไม่เชื่อด้วยและพลังนี้เหนือกว่าพลังแห่งความเชื่อครับ
มีจริงหรือเป็นไปได้อย่างไร? ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายขยายความให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณา
ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ทำไมพลังแห่งความไม่เชื่อจึงเหนือกว่า?
คำตอบง่ายมากครับ
เพราะว่า “สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ มีมากกว่าสิ่งที่ควรเชื่อ”
เมื่อคุณใช้พลังแห่งความไม่เชื่อแล้ว คุณก็จะใช้มันได้มากกว่า กับหลายคน
หลายสถานการณ์มากกว่า ยังไงละครับ หากยังไม่เห็นภาพ ลองคิดดูว่าการยิงเป้าให้ถูกจริงๆ
แค่จุดเดียว ยากแค่ไหน? จุดที่ถูกมีจุดเดียว ส่วนจุดอื่นๆ ผิดหมดเลยมีนับไม่ถ้วน
จริงไหมครับ? จุดที่ถูกก็เหมือนจุดที่เราควรใช้พลังแห่งความเชื่อน่ะละ
ส่วนจุดที่ไม่ถูกคือจุดที่เราควรใช้พลังแห่งความไม่เชื่อครับ
เมื่อใดที่เราใช้พลังแห่งความเชื่อกับสิ่งที่ไม่จริง สิ่งหลอกลวง
เมื่อนั้นเราก็หลอกตัวเอง และเราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยได้อย่างแท้จริงได้เลย
เพราะสิ่งที่เราเชื่อ มันไม่จริงไงครับ
๒ พลังแห่งความไม่เชื่อกับการขาดพลังแห่งศรัทธา
คุณต้องแยกแยะระหว่างคนที่ขาดพลังศรัทธากับคนที่ใช้พลังแห่งความไม่เชื่อ
ออกจากกัน สองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกันครับ คนที่ใช้พลังแห่งความไม่เชื่อ
ก็เหมือนเขื่อนที่กักน้ำไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมปล่อยอะไร?
ไม่ยอมปล่อยความเชื่อของตนให้รั่วไหลออกไปไงครับ เมื่อกักเก็บไว้มาก
พลังแห่งความเชื่อหลังเขื่อนก็จะมาก เมื่อปลดปล่อยความเชื่อออกมาก็จะมีพลังมากมาย
ส่วนคนที่ขาดพลังศรัทธาเปรียบเหมือนเขื่อนที่แห้งแล้ง
เขื่อนที่แห้งแล้งย่อมไม่มีพลังอะไรเลย แตกต่างจากเขื่อนที่ไม่ยอมปล่อยน้ำออกมาไหมครับ?
แตกต่างแน่ๆ แต่ถ้าเรามองภายนอก มองหน้าเขื่อน เราจะไม่รู้
เพราะเขื่อนทั้งสองล้วนไม่มีน้ำออกมาจากเขื่อนเลยไงครับ
๓ คนที่ขาดความเชื่อ
ทำไมไม่มีพลัง ไม่ร่ำรวย?
ดังที่ได้อธิบายแล้วว่าคนที่ขาดพลังแห่งความเชื่อก็เหมือนเขื่อนที่ไม่มีน้ำ
ย่อมไม่มีพลังอะไรเลย แต่คนที่ใช้พลังแห่งความไม่เชื่อ ก็เหมือนคนที่กำลังปิดน้ำในเขื่อนไว้ไม่ให้ไหลออกมา
ในขณะที่คนที่ใช้พลังแห่งความเชื่อนั้น ก็เหมือนเขื่อนที่ปล่อยน้ำออกมาตลอดเวลา
อธิบายแบบนี้พอเห็นภาพนะครับ ทีนี้ คุณต้องเข้าใจว่าการใช้พลังแห่งความไม่เชื่อนั้น
ไม่ใช่ภาวะ “สูญสิ้นความศรัทธา” ไม่เช่นนั้นเขื่อนของคุณจะไม่มีน้ำเลยครับ ตรงข้าม
เมื่อคุณใช้พลังแห่งความไม่เชื่อ
คุณต้องมีพลังแห่งความเชื่อกักเก็บไว้ภายในอย่างเต็มเปี่ยม ที่ไม่นำออกไปใช้ให้ใครเรี่ยราด
ส่วนคนที่สูญเสียความศรัทธาไปแล้วนั้นก็จะไม่มีความกล้าที่จะเชื่อใครอีกครับ
๔ พลังแห่งความเชื่อสู้พลังแห่งความไม่เชื่อไม่ได้?
เพราะอะไร? เหมือนอย่างที่ชายอธิบายเรื่องเขื่อน
คนที่ใช้พลังแห่งความเชื่อแบบเรี่ยราด ก็เหมือนเขื่อนที่รั่วไหล
ไม่อาจเก็บพลังแห่งความเชื่อจำนวนมากๆ ไว้ใช้กับคนที่ควรเชื่อ, สิ่งที่ควรเชื่อได้
คนพวกนี้จะเชื่อไปหมดแบบเรี่ยราด เห็นใครกราบไหว้อะไรก็ต้องไปกราบไหว้ ไปเชื่อด้วย
หรือบางทีคิดอะไรก็ต้องเชื่อตัวเองไปหมดเสียทุกอย่าง มันไม่จำเป็นหรอกครับที่เราจะต้องใช้ความเชื่อหนุนอีโก้ตัวเองขนาดนั้น
เรื่องบางเรื่อง มันไม่ต้องใช้ความเชื่ออะไรเลยก็ได้ เพราะมันอาจอยู่บนหลักฐาน,
ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนมันได้อยู่แล้ว ก็มี เมื่อคุณใช้ความเชื่อแบบเรี่ยราดไปหมด
ไม่รู้ว่าบางอย่างไม่ต้องใช้ความเชื่อก็ได้ คุณก็จะเสียพลังไปครับ
๕ พลังแห่งความเชื่อและไม่เชื่อ
ดุจแขนสองข้าง
จงใช้พลังได้ทั้งสองอย่างที่ตรงข้ามกันแบบหยินหยาง
พลังแห่งความเชื่อกับพลังแห่งความไม่เชื่อ ก็เหมือนแขนทั้งสองข้างของคุณ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน
ขัดแย้งกัน แต่มันก็เหมาะสมกับการใช้งานในบริบทที่ต่างกัน เพราะมันไม่จำเป็นที่คุณต้องเชื่อทุกอย่างหรือทุกสิ่ง
หรือแม้แต่ทุกความคิดของคุณเอง
การใช้พลังแห่งความไม่เชื่อเพื่อเสริมและกักเก็บพลังแห่งความเชื่อไว้ให้มากๆ
เพื่อที่จะใช้ออกให้ถูกสถานการณ์ ย่อมทำให้พลังแห่งความเชื่อของคุณมีมาก
และสามารถใช้มันออกมาได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ แท้จริงแล้ว
จักรวาลมิได้ให้เลือกอย่างหนึ่งเพื่อปฏิเสธสิ่งตรงข้ามแต่สร้างทุกอย่างมาพร้อมบริบูรณ์ทุกด้านแล้วต่างหาก
การไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทำให้คุณเป็นวิริยะธิกะ
ไม่ใช่ศรัทธาธิกะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น