การสำรอกอวิชชาเป็นอย่างไร?




การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่สำคัญเลยว่าเราจะเก่ง จะรู้ธรรมะ จะเข้าใจธรรมะ จะกล่าวธรรมะได้มากกว่าใครแค่ไหน? ที่สำคัญคือ “เราสำรอกอวิชชาได้แค่ไหน” เราเอือมระอาต่อทางโลกได้มากแค่ไหน? นี่ต่างหาก หลายคนปฏิบัติธรรมแล้วเอาแต่ “กูรู้” กูรู้ๆ แข่งกัน แต่ชีวิตจริงยังจมปลักอยู่กับทางโลกเหมือนเดิมดังต่อไปนี้ครับ

ความสมดุลของสองสิ่งสำคัญ
สองสิ่งสำคัญคือ “พละห้าที่เข้มแข็งพอเผชิญหน้ากับความจริง” และ “ความจริงที่ทำให้สำรอกอวิชชาได้” นี่คือ สองอย่างที่ต้องสมดุลกัน หากพละห้าไม่เข้มแข็งพอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว จะเกิดอาการ “ถีนะมิทธะ” ในแบบต่างๆ เช่น หมดเรี่ยแรง หมดอาลัยตายอยาก เหมือนจะตายเอาให้ได้ ไม่อยากอยู่แล้ว แต่ถ้าพละห้าเข้มแข็งมากๆ แต่ความจริงที่ต้องเผชิญมันอ่อนเกินไป ผลคือมันจะไม่เกิดอะไรไม่ได้ผลนั่นเอง การสำรอกอวิชชาก็จะไม่เกิด คนๆ นั้นก็จะหลงในวิชาของตน คิดว่ามันคือปัญญา นี่คือ สัจธรรมความจริงนี้ไม่มีพลังมากพอจะทำให้เกิดการสำรอกอวิชชาออกมาได้ เหมือนหมอผีไม่เก่งพอเลยไล่ผีออกมาไม่ได้น่ะละ

พละห้าจะต้องเข้มแข็งมากพอ
คนบ้าและคนที่ฆ่าตัวตาย บางทีอาจเพราะเขาเผชิญหน้ากับความจริงแล้วรับไม่ไหว คือ พละห้าอ่อนกำลังนั่นเอง คือ เขาเห็นความจริงทางโลกแล้วนะ ไม่ใช่ไม่เห็น เพียงแต่กำลังจิต กำลังใจอ่อน พละห้าไม่เข้มแข็งพอ เขาก็อาจบ้า, ฆ่าตัวตาย หรืออยู่เหมือนคนซังกะตายไปวันๆ ไร้ชีวิตชีวา หมดอาลัยตายอยากได้ ดังนั้น การฝึกพละห้าให้เข้มแข็งจึสำคัญ ใครบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ได้ฟังสัจธรรมความจริงก็บรรลุแล้ว นี่ไม่ถูกต้องนะ มันจะต้องฝึกพละห้าให้เข้มแข็งพอก่อน ไม่งั้น ไม่รอด แต่การฝึกแบบพุทธไม่ใช่แบบพราหมณ์ คือ ฝึกโดยไม่ฝึก แค่นั้นเอง แต่จะบอกว่าไม่ต้องฝึกสมาธิอะไรเลยนั้น ไม่ถูกต้อง พละห้าจะไม่พร้อมแก่งาน

สัจธรรมความจริงที่เหมาะสม
เทวดาเขาฟังธรรมะแบบสวยงามได้ แต่มนุษย์เดินดินนี่ ฟังแบบสวยงามก็จะไม่ตื่นจากความหลงหรอก แต่ต้องเจอแรงๆ เจอของแรง เข้าใจไหม? เหมือนผู้ดี มาพูดเพราะๆ ถามว่าคนป่าเถื่อนจะเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจหรอก คนป่าเถื่อนก็ต้องฟังคำพูดแรงๆ ตรงๆ เถื่อนๆ ดิบๆ ไม่งั้นไม่ตื่นแจ้ง ดังนั้น คำว่า “สัจธรรมความจริง” ไม่จำเป็นต้องไพเราะงดงามเหมือนที่เขาเรียบเรียง แต่งเสริมเติมต่อไว้อย่างดีในตำราแบบนั้น แต่มันต้องได้ขั้นสำรอกออก คือ ฟังแล้วอ้วกเลยว่างั้นเหอะ เหมือนหมาที่กินขี้ ไม่เคยกินอย่างอื่น เราจะบอกความจริงแก่มันได้อย่างไรว่ามันถูกหลอกให้กินขี้ละ? พูดเพราะๆ มันไม่รู้ ต้องพูดแรงๆ มันถึงจะสำรอกอวิชชาออกมาได้

๔ กระบวนการสำรอก “อวิชชา”
คือ กระบวนการที่เกิดจากการตื่นแจ้งจากทางโลกและความลุ่มหลงอย่างแท้จริงแล้วทำให้เกิดอาการคล้ายจะอ้วกออกมา แต่ไม่ใช่อาการแบบคนทรงเจ้าแบบผีจะเข้าอะไรแบบนั้นนะ คนละอย่างกัน บางคนไม่อยากกินอะไรอีกแล้วหลายวัน แถมยังไม่หิวอะไรด้วย อิ่มทิพย์ไปเลยก็มี บางคนจะเข้าป่าละ บ้านช่องจะไม่อยู่ละ คนเห็นเข้าคิดว่าบ้า ก็มี บางคนไม่ทำงานทำการอะไรอีกละ เหมือนคนไม่เอาไหนไปเลย ก็มี อาการทางกาย จะมีและเห็นได้จริงแน่นอน เพราะเกิดจากจิตที่ตื่นแจ้งแล้วคลายออกจากความลุ่มหลง เป็นอาการทางจิตที่คล้ายๆ คนบ้าเลย แต่ไม่ได้บ้านะ มันเป็นอาการทางจิตที่แสดงออกมาผ่านร่างกายให้เราสังเกตุเห็นได้ครับ

๕ ห่มขาวแบบพุทธไม่ใช่พราหมณ์
หลายคนชอบมาปฏิบัติธรรม นุ่งขาวห่มขาวอะไรกัน ทว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าทางพุทธ หลายคนก็เป็นวรรณะพราหมณ์เท่านั้นเอง คือ มาปฏิบัติธรรมแบบวรรณะพราหมณ์ ไม่ได้ตื่นแจ้งโลก ยังเปียกชุ่มอยู่ด้วยความติดชินในลูกในผัวอยู่ หลายคนเข้าใจผิด คิดว่ามาปฏิบัติธรรมแล้วจะได้เจอคู่บารมี นี่ละ ที่ทำให้เพี้ยนจากพุทธกลายเป็นพราหมณ์ ปฏิบัติธรรมเหี้ยอะไรมาหาคู่ ถ้าอยากหาคู่ ไปผับบาร์โน่น ไม่ต้องมาปฏิบัติธรรมห่าเหวอะไร พุทธเขากล่าวเรื่องคู่บารมีไว้ก็จริง แต่คู่บารมีในทางพุทธนั้นเขาไม่ได้เป็นแบบพราหมณ์ คือ มาเอากัน ให้ได้กันในชาตินี้ ไม่ใช่ บางคนต่างมีครอบครัว ต่างบำเพ็ญกันไป แล้วไปเจอกัน คู่กันบนสวรรค์โน่นก็มีครับ

ปฏิบัติธรรมให้ถึงขั้นสำรอกอวิชชา อย่าเอาแค่รู้ธรรมะแบบพราหมณ์ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?