เราไม่ได้มานิพพานกันชาตินี้?
“ทุกอย่างย่อมมีวาระของมัน”
การที่เราจะได้นิพพานหรืออะไรก็ตาม ก็ต้องมีวาระของมันเช่นกัน
สิ่งนี้ไม่ใช่จะทำตามอำเภอใจเราทันทีในชาตินี้ได้ เพราะทุกอย่างถูกวางแผนมาเป็นพันๆ
ชาติและซับซ้อนมากกว่าที่คุณจะหยั่งรู้ได้ ทว่า คุณก็จะได้รับมันแน่เมื่อถึงเวลาเอง
อย่าใจร้อน ดังจะอธิบายในบทความดังต่อไปนี้
๑ ไม่ต้องรีบ
สิ้นพุทธกาลก่อน
พุทธศาสนานี้มีอายุห้าพันปีโดยประมาณ
อาจยาวหรือสั้นกว่านั้นบ้างแต่ก็ประมาณนี้เพื่อให้ท่านเข้าใจว่า “ไม่ต้องรีบ”
ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดมาชาติแรกที่เป็นชาวพุทธแล้วต้องได้นิพพานเลย ไม่ใช่นะ ปกติแล้วท่านจะให้เราเวียนว่ายตายเกิดไปก่อนตามกำลังความสามารถเรา
แล้วจะเก็บกลับคืน หลุดพ้นก็สิ้นพุทธันดรพอดี แล้วอย่าไปโฆษณาชวนเชื่อหรือให้คำมั่นใครว่าจะให้นิพพานแก่เขาได้
เพราะบางคนเขาไม่ได้ลงมาเพื่อเอานิพพาน แต่เขาแค่มาช่วยกิจพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
และที่สำคัญไม่ใช่ว่าคนฉลาดต้องนิพพานไปก่อน ยิ่งฉลาด ยิ่งมีกำลังมาก
เขาก็จะไม่รีบ เพื่อที่จะช่วยเหลือสัตว์อื่นไปก่อน แล้วตนเองไปทีหลังไงละครับ
๒ หลังจากชาตินี้เราจะไปที่ไหน?
เมื่อเราไม่ได้นิพพานทันทีในชาติเดียว
เราจะต้องมี “แผนการเวียนว่ายตายเกิด” ฮะ ท่านที่อยู่ข้างบน ตัวตนเบื้องสูงของเรา
จะวางแผนให้เราไม่ใช่แค่ชาติเดียว แต่ท่านจะมองเห็นหลายๆ ชาติ ทีเดียวเป็นสิบๆ
ร้อยๆ ชาติกันเลย แล้วท่านก็จะสรุปบุญกรรมที่ควรรับในหนึ่งชาติมาให้เรา
ปกติแล้วหลังจากชาตินี้เราจะต้องเป็น “พลังงานใหม่” ที่เข้าไปแทนที่ “พลังงานเก่า”
เพราะเทพชุดเก่าจะหมดวาระแล้วเลื่อนระดับไป ส่วนเราก็จะไปประจำตำแหน่งแทนท่าน
จากนั้น เมื่อระบบเข้าที่แล้วคนที่เหลือจะได้รับการคัดเลือกให้หลุดพ้นอีกทีครับ
หากไม่มีใครเสียสละตนอยู่ประจำตำแหน่งต่างๆ เลย คนเก่าก็หลุดพ้นไม่ได้ เพราะต้องอยู่ประจำหน้าที่ครับ
๓ สามภพจะถูกสร้างใหม่ที่มีเราด้วย
พวกเราคือพลังงานใหม่ที่ลงมาเกิดยังโลกนี้เพื่อที่จะเข้ามาแทนที่พลังงานเก่าครับ
พลังงานเก่าจะได้รับการปลดปล่อยออกไป เทพชุดเก่าจะเลื่อนระดับหลุดพ้นไปก่อน
เราก็เข้าไปประจำที่แทน ทำกิจต่อแทนครับ ไล่ตั้งแต่ชั้นล่างสุดคือ นรก
คนที่ชอบให้คนห้อมล้อม อยู่กับคนมากๆ จะได้ไปทำหน้าที่ในนรก, ภาคพื้นโลก
มีเทพที่เฝ้าประจำที่ต่างๆ เช่น วัด คนที่ยึดติดวัดมากๆ จะตายแล้วกลายเป็นผีเสื้อวัด
เฝ้าวัดครับ คนที่ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นบนจริงๆ จะต้องถูกบีฑาธรรม
เคี่ยวกรำจนไม่อาลัย ไม่มีจิตพัวพันอะไรในโลกแล้วจริงๆ จึงจะไปสู่สวรรค์ได้
โลกยุคนี้จึงถูกออกแบบมาให้มี
“อะไรมากมาย” เพื่อหลอกล่อให้คนทั้งหลายยึดติดสิ่งเหล่านี้ครับ
๔ สายธรรมสัมพันธ์ชาติหน้าของเรา
คนที่จะไปเกิดบนสวรรค์ได้จะต้องมี
“สายธรรมสัมพันธ์” กับสวรรค์นั้นๆ เพราะสวรรค์มีหลายที่ครับ
ทั้งในโลกนี้และโลกธาตุอื่น เช่น สุขาวดี, พรหมโลก, ดุสิต ฯลฯ นี่ล้วนเป็นสวรรค์ทั้งนั้น
แต่คนเราจะไปเกิดที่นั่นได้จะต้องมีสายธรรมสัมพันธ์ก่อน ซึ่งก็คือ
“การเข้ารีต” หรือ “การอยู่ในธรรมวินัย” ขององค์กรธรรมะสักอย่างครับ มันไม่ได้แปลว่าคุณทำความดีมาก
ทำบุญมาก แล้วเจ้าสวรรค์ชั้นนั้นๆ เขาจะรับคุณนะ ถ้าคุณไม่ยอมใครเลย
ใครก็เอาคุณไม่อยู่ แบบนั้น ไม่มีเจ้าสวรรค์ชั้นไหนกล้ารับคุณแน่ เพราะคุณ
“เก่งเกินไป” ครับ ดังนี้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายท่านล้วนอ่อนน้อมต่อเจ้าสวรรค์ทุกชั้น
ทุกที่ เพื่อเชื่อมสายธรรมสัมพันธ์กันนั่นเองครับ
๕ พระบุตรผู้เชื่อมสายธรรมสัมพันธ์แก่เรา
คำว่า
“พระบุตร” ในที่นี้ ขอใช้ในความหมายกว้างๆ เป็นสากลนะครับ ไม่ได้หมายถึง พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า
แต่หมายถึง พระบุตรของเจ้าสวรรค์แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้
หรือเทวทูตที่จะเปิดให้เราเข้าสู่สวรรค์ชั้นนั้นๆ ได้ บางคนเป็นร่างพญาปีศาจ
ใครที่เชื่อถือเขาจะกลายเป็นสาวกปีศาจหมด พวกนี้จะเข้าสู่มิติของปีศาจ แต่ถ้าใครเป็นเทวทูตประจำสวรรค์บางชั้น
เราไปเชื่อมธรรมสัมพันธ์กับเขาได้ เราก็มีโอกาสได้สวรรค์ชั้นนั้นๆ ด้วย
การเชื่อมธรรมสัมพันธ์คือ การที่เรายอมรับเจ้าสวรรค์องค์นั้นๆ ให้อยู่เหนือเรา
แล้วเรายอมรับใช้ท่าน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น เป็นเจ้าสวรรค์องค์ใดก็ได้
สวรรค์ชั้นไหนก็ได้ ดีกว่าตกนรกครับ
ยุคปัจจุบันมนุษย์มีอิสระที่จะเลือกเข้าสู่ระบบสวรรค์ไหนก็ได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น