ความรักนำไปสู่ทางที่ผิดเสมอ?
หากเรายืนหยัดอยู่บนจุดที่ถูกต้อง
เราจะลงไปฉุดช่วยสรรพสัตว์ไม่ได้เลยเพราะอะไร? เพราะสรรพสัตว์หลงอยู่ เราจะลงไปฉุดช่วยพวกเขาได้
เราจะต้องเดินไปสู่ทางที่ผิดก่อน เพราะพวกเขาอยู่ในทางที่ผิดนั้น เมื่อใดที่ความรักความเมตตาทำงาน
เมื่อนั้นเราจะเดินไปสู่ทางที่ผิดเสมอ ดังจะอธิบายในบทความดังต่อไปนี้
๑ แท้แล้วไม่มีอะไรถูกหรือผิดเลย?
ทางที่ถูกต้องก็คือทางที่เรายังไม่ใช้ความเมตตากรุณาใดๆ
เราอยู่บนอุเบกขาด้วยความแน่วแน่ แต่เมื่อใดที่เราใช้ความรักความเมตตา เราจะต้องก้าวออกจากจุดที่ถูกต้องนี้ไปสู่จุดที่ผิด
เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายที่รอให้เราฉุดช่วยนั้นอยู่ในจุดที่ยังไม่ถูกต้อง ดังนั้น
ไม่ว่าเราจะเลือกทางใด ทางที่ถูกหรือผิด ก็ไม่ใช่ความผิดใดเลย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางใดจะถูกต้องด้วย ทุกอย่างก็แค่เหตุปัจจัยที่ปรุงประกอบกันไป
เมื่อเลือกที่จะก่อเหตุอย่างหนึ่ง
ก็จะได้รับผลอย่างหนึ่ง
แต่เมื่อเลือกที่จะก่อผลอีกอย่างหนึ่ง
ก็จะได้รับผลอีกอย่างแทน เพียงแต่ว่าการเลือกไปฉุดช่วยสรรพสัตว์นั้นอาจสำเร็จหรือไม่ก็ได้
และเราเองก็อาจหลงทางไปด้วยก็ได้ครับ
๒ ผู้อยู่นิ่งจะส่องนำทางให้คนอื่น
เพราะอะไรครับ?
เพราะเขายืนอยู่บนจุดที่ถูกต้อง ไม่ยอมออกมาจากจุดที่ถูกต้องนั้น ดังนั้น เขาจึงทำหน้าที่ภาคสว่างได้ ส่องนำทางให้ผู้อื่นได้ สอนคนอื่นได้
ตักเตือนคนอื่นได้ครับ ในขณะที่คนที่เลือกลงไปฉุดช่วยผู้อื่นนั้น
จะต้องละออกจากจุดที่ถูกต้องให้ได้ก่อนเมื่อนั้นเขาก็ได้ละจากภาคสว่างไปด้วย ทว่า
เขาทำผิดมั้ย ก็ไม่ใช่ความผิดหรือความถูกต้องอะไรหรอกครับ มันเป็นแค่
“เส้นทางที่แตกต่างกัน” เท่านั้นเอง สิ่งสำคัญก็อยู่ที่เมื่อเขาลงไปแล้วเขาจะช่วยสรรพสัตว์ได้จริงแค่ไหน?
หรือช่วยแล้วตัวเองกลับเอาตัวไม่รอดเอง เหตุนี้ พระโพธิสัตว์จะต้องมีคู่
เพื่อทำกิจคานกัน หากใครลงไปฉุดช่วยสรรพสัตว์ อีกคนก็จะคอยส่องนำทางให้
๓ ผู้ที่เลือกไปช่วยผู้อื่นต้องยอมผิด
มนุษย์มาเกิดในโลกนี้เพราะมี “บาปกำเนิด”
ถ้าไม่มีบาปกำเนิดเราก็มาเกิดไม่ได้ ดังนั้น บาปกำเนิดไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือชั่ว
ถ้าคุณเห็นว่ามันดีหรือชั่ว แสดงว่าคุณได้กินผลไม้ต้องห้ามที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่วไปแล้ว
บาปกำเนิดคืออะไรสักอย่างที่มีหน้าที่ของมันเอง
และหน้าที่ของมันคือทำให้มนุษย์มาเกิดยังโลกนี้ เมื่อพระโพธิสัตว์จะลงมายังโลกนี้
ก็ต้องมีบาปกรรมนำพามา หากไม่มีบาปกรรมเลยจะมาเกิดได้ยังไง? ดังนั้น
ทางที่จะลงมาช่วยสรรพสัตว์จึงกลายเป็น
“การทำความผิด” เสมอ โพธิสัตว์นั้นมีสติรู้ตัวว่าผิดและยอมรับกรรมนั้นแทนสัตว์ได้
แต่ซาตานนั้นจะไม่ยอมรับว่าตนเองมีความผิดบาปครับ ดังนั้น ซาตานจึงไม่ยอมเข้าสู่การชำระบาปนั่นเอง
๔ กล้าทำผิดและกล้ายอมรับผลของมัน
นี่คือลักษณะวิสัยของพระโพธิสัตว์
บางท่านอวตารลงมายังโลกเพื่อช่วยมนุษย์แล้วกลับคืนสู่สวรรค์ไม่ได้ ก็ต้องรอเป็นพันๆ
ปีหรือหมื่นๆ ปียังมีเลย ดังนั้น เมื่อยามช่วยเหลือสรรพสัตว์หากอยากหน้าใหญ่
อยากจะได้หน้ามากเกินไป จนไม่ดูกำลังตัวเองก็อาจต้องติดค้างอยู่ในโลกยาวนาน ปีศาจทั้งหลายก็ล้วนมาจากอวตารของพระโพธิสัตว์มากมาย
แต่พวกเขาไม่อาจกลับคืนสู่สวรรค์ไม่อาจคืนกลับฐานะเดิมได้แล้วต้องกลายเป็นปีศาจเป็นเวลายาวนานด้วยเหตุนี้จึงมีพระโพธิสัตว์บางองค์ที่มีปณิธานคอยช่วยเหลือพระโพธิสัตว์และเทพทั้งหลายที่ลงมายังโลกมนุษย์ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหรือดีกว่าได้อีกครั้ง
เพราะมีผู้ที่ติดค้างในโลกเยอะมาก
๕ สมดุลของเมตตาและ ปัญญา
เมื่อใช้ความรักความเมตตา
พระโพธิสัตว์ต้องยอมทำกรรม ยอมแปดเปื้อนเสียเอง ดังนั้น
จะมีแต่ความรักความเมตตาไม่ได้ พระโพธิสัตว์จะต้องมีทั้งเมตตาและปัญญาควบคู่กันด้วย
เพราะเราไม่ได้มีบารมีล้นฟ้า เรามีบารมีจำกัดและสามารถช่วยสรรพสัตว์ได้จำกัด เราจึงต้องเลือก
เหมือนพระพุทธเจ้าเลือกโปรดสัตว์เหล่าบนก่อน คือ “บัวเหนือน้ำ”
สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนผลไม้ มีวาระในการสุกงอมไม่เท่ากัน สัตว์ที่ยังไม่ถึงวาระจะสุกงอม
เราไปเร่งให้สำเร็จธรรมก็ไม่ได้ เช่น สัตว์ที่เพิ่งลงมาเกิดยังโลกไม่นานพอ
พวกเขายังไม่ตื่นแจ้งว่าโลกนี้มีทุกข์ ส่วนสัตว์ที่ลงมาเกิดนานแล้ว
มีทุกข์อยู่นานแล้ว พวกนี้พร้อมที่จะรับการโปรดมากกว่า
หากเลือกโปรดสัตว์ที่ใกล้สุกงอม
ก็จะไม่ต้องก่อกรรมเปื้อนมือมากครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น