พุทธไม่สอนเรื่องการรู้ดีรู้ชั่ว?




พุทธศาสนาเราสอนเรื่องที่ได้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าสืบๆ กันมาส่วนเรื่องที่ต่ำกว่าญาณตรัสรู้เป็นสิ่งที่มีมาก่อนพุทธศาสนาจะเกิด อันนี้ ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็ได้เพราะเป็นแค่เรื่องพื้นฐาน พุทธเขาไม่สอน เช่น เรื่องการรู้ดีรู้ชั่ว อันนี้สอดคล้องกับคำสอนของคริสตร์ ดังจะอธิบายในบทความดังต่อไปนี้ครับ

๑ การสอนให้รู้ดีรู้ชั่วมีมาก่อนพุทธ
คนเรานั้นเมื่อเกิดมาเหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ แต่เราจะถูก “คนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้” สอนเราต่างๆ นานา ว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ชั่ว ฯลฯ ทารกที่เคยบริสุทธิ์ก็จะกลายเป็นผ้าที่ถูกป้ายสีปรุงแต่งแต้มให้เป็นอะไรที่สังคมนั้นๆ มองว่าคือคนดี นี่คือ กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ทว่า พุทธนี้สอนให้เราปลีกวิเวกออกมาจากสังคมเดิมๆ ให้ได้ก่อน เหมือนพระสมณโคดมยังต้องหนีออกมาจากพระราชวังก่อน แล้วมาค้นหา “สัจธรรมความจริง” ด้วยตัวเอง เราจะต้องหลุดพ้นจากสิ่งที่สังคมพยายามป้ายสีให้เราเชื่อ ให้เราเป็นก่อน และสิ่งที่สังคมป้ายสีให้เรานั้นคือ “การรู้ดีรู้ชั่ว” นั่นเอง เช่น สังคมสอนว่าต้องมีเงิน, มีอาชีพนะ จะดี ใครไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ คือ ไม่ดี (ชั่ว)

๒ การสำรอกอวิชชาในทางพุทธ
ดังที่กล่าวแล้วว่าเราทั้งหลายล้วนถูกสังคมปรุงแต่งแต้มให้เป็นมาก่อนเหมือนผ้าขาวที่ถูกป้ายสี ในทางพุทธนั้นเรียกความไม่รู้แจ้งเหล่านี้ว่า “อวิชชา” และเราจะต้องสำรอกเอาอวิชชานี้ออกเสีย ให้เราเริ่มต้นศูนย์ใหม่ได้ เรียกว่า “การสำรอกอวิชชา” เมื่อนั้นเราจะเห็นโลกนี้เหมือนมายาการ เหมือนโรงละคร และเราถูกหลอกให้เชื่ออย่างนั้นมาตลอดแต่ไม่มีใครสอนให้เราคิดในมุมที่แตกต่างเลย พุทธศาสนาสอนให้เราค้นหาสัจธรรมเอง อย่าเชื่อใครไปก่อน ตามหลักกาลามสูตร ข้อนี้ขัดแย้งกับทางโลกแน่นอน ที่สังคมโลกจะสอนให้เราต้องเชื่อตามค่านิยมของสังคมนั้นๆ โดยไม่ให้โอกาสเราคิดหรือค้นหาสัจธรรมความจริงด้วยตัวเราเองแม้แต่น้อย

๓ การรู้ดีรู้ชั่วไม่ใช่ทางหลุดพ้น?
การรู้ดีรู้ชั่วทำให้เรายึดติดสิ่งที่เรารู้ว่าดีและปฏิเสธสิ่งที่เรารู้ว่าไม่ดี เช่นนี้ จึทำให้เราไม่หลุดพ้น เพราะพุทธนั้นสอนให้เรายอมรับความจริงตามจริง ไม่ใช่ปฏิเสธสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี เราต้องเผชิญหน้าและยอมรับความจริงให้ได้ต่อให้มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีแค่ไหนก็ตาม ในขณะเดียวกันเราจะต้องไม่หลง ไม่ยึดติดสิ่งที่เราคิดว่าดี ถ้าเรายึดติดเราก็จะไม่หลุดพ้น พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้แบ่งแยกว่าอะไรดี อะไรชั่วเพื่อที่จะเลือกเอาอย่างหนึ่ง แล้วปฏิเสธอีกอย่างหนึ่ง ก็หาไม่ วิธีคิดแบบนี้มาจาก “การทำข้อสอบปรนัย” ครับ ที่เราจะเลือกข้อที่ถูกที่สุด จากนั้น เราจะตัดข้ออื่นๆ ทิ้งไป วิธีคิดแบบการทำข้อสอบปรนัยนี้ นำมาใช้กับสัจธรรมในชีวิตจริงไม่ได้ครับ

๔ การรู้ดีรู้ชั่วเป็นวิถีปีศาจ?
คริสตร์สอนว่าที่มนุษย์มีบาปกำเนิดนั้นเพราะมนุษย์ถูกปีศาจงูหลอกให้กินผลไม้ต้องห้ามซึ่งทำให้รู้ดีรู้ชั่วแต่รู้ไม่จริง เพราะไม่ใช่การตรัสรู้โดยชอบครับ ปีศาจงูนั้นทำงานรับใช้ซาตานลูซิเฟอร์อยู่ คนที่ถูกปีศาจงูหลอกจะมีอาการ “รู้” รู้มาก รู้เยอะ ขึ้นมาทันที เมื่อรู้เยอะก็จะหลงตัวเองว่าตนรู้มากแล้ว ทีนี้ จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเยซู ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้าอีกต่อไป จะทำตัวเหมือนฉันตรัสรู้เองแล้ว ฉันรู้ไปหมดแล้วกล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่นๆ ราวกับว่าตัวเองรู้แจ้งเห็นจริงแล้วเช่นนั้นละ สุดท้าย ก็จะกลายเป็นคนหลงตัวเอง สอนไม่ได้ ดื้อด้าน มีจิตใจกำเริบ และเข้าสู่วิถีปีศาจซาตานต่อไป การรู้ดีรู้ชั่วไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์เราครับ
  
๕ คำสอนที่ผิดเพี้ยนในพุทธศาสนา
ปกติแล้วคำสอนในพุทธศาสนาจะมาจาก “บาลี” แล้วแปลเป็นไทยอีกที เช่น “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ” แล้วก็แปลเป็นไทยมาใช้ครับ แต่ในตำราไทยเรามีการแต่งเสริมเพิ่มเติมใหม่เข้าไป โดยไม่มีแหล่งที่มาที่เป็นบาลีด้วย เช่น คำสอนเรื่องพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานที่ว่า “ทำความดี, ละเว้นความชั่ว, ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” นั้น ไม่มีคำบาลียืนยันเลย ไม่มีแหล่งที่มาเป็นบาลีเลยครับ อย่างมรรคแปดนี่มีบาลียืนยัน เช่น การกระทำชอบ ก็มาจากบาลีว่า “สัมมากัมมันตะ” อันนี้คำว่า “ทำความดี” ถามว่ามาจากบาลีว่าอะไร? ไม่มีนะ อีกประการ จิตนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้ว (กระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด) คือ “จิตประภัสสร” ไม่จำเป็นต้องทำให้บริสุทธิ์อีกครับ  

คำสอนพุทธมีบาลียืนยันหมด อันไหนไม่มีบาลี แสดงว่า “แต่งขึ้นมาเอง” ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?