ปลดภาระโดยไม่ถือครองทำได้อย่างไร?
ในบทความก่อนได้กล่าวถึงการดำรงอยู่โดยไม่ถือครองมาแล้ว
ว่าสามารถทำได้จริงและยกตัวอย่างพระที่อยู่วัดได้โดยไม่ยึดครอง ซึ่งเป็นการปฏิบัติจริง
เห็นผลจริง พิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่แค่การพล่ามทฤษฎีธรรมะไปวันๆ ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายขยายความในแง่การปฏิบัติจริงในแบบฆราวาสให้ได้ผล
ดังต่อไปนี้
๑ สละทางโลกได้จะมีใจเป็นพระ
หลายคนชอบพูดโอ้อวดว่า
“ไม่ต้องบวชก็เป็นพระได้” ในแง่ทฤษฎีมันก็ได้ครับ แต่คนพูดน่ะทำได้จริงหรือไม่
ก็อีกเรื่องหนึ่ง
เพราะการจะเป็นพระหรือมีใจเป็นพระได้นั้นจะต้อง “สละทางโลก” ให้ได้ก่อน
ไม่ใช่เอาแต่พูดว่าเราไม่ยึดอะไรแล้ว ไม่ใช่ครับ ในแง่การปฏิบัติจริงต้องทำให้ได้จริงด้วย
ไม่ใช่ดีแต่พูดเช่นพระไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง อยู่ในวัดที่ไม่ใช่ของตัวเอง
แต่อยู่ได้ ใช่ไหมครับ? ดังนั้น
ฆราวาสที่จะปฏิบัติให้ได้ใจเหมือนพระก็ต้องทำเช่นนั้นให้ได้เหมือนกัน หากทำไม่ได้
อย่ายกตนเสมอท่านว่าเราก็ไม่ต่างจากพระ ไม่ใช่ฮะ เราต้องทำให้ได้อย่างท่านก่อน เราจึงจะมีใจเป็นพระอย่างท่านได้
ด้วยการสละทางโลกคือการไม่เอาอะไรทางโลก
๒ สละเพศบรรพชิต
ไม่ถือเพศ
คำว่า
“ไม่ถือเพศ” สละความยึดติดในเพศ ไม่ใช่ว่าตนเป็นหญิงแต่ไปตีตนเสมอพระ
เสมอชาย ไม่ใช่นะครับ นั่นไม่ใช่การสละอะไรเลย แต่เป็นทิฐิมานะ ความหลงตัวเองที่จะเอาชนะ
ยกตนเสมอท่านต่างหาก การสละเพศบรรพชิตโดยไม่ห่มผ้าเหลืองนั้นยากมากๆ
เหมือนการฝืกวิชาทานตะวันโดยไม่ตัดอวัยวะเพศน่ะละ ใครจะทำสำเร็จได้บ้างครับ?
ดังนั้น ไม่ใช่ของง่ายๆ อย่าประมาทในธรรม อย่าหลงคิดว่าง่าย อย่าลูบคลำธรรมะแต่เปลือก
เอาง่ายๆ พระที่บวชแล้วชกต่อยกันนี้ แสดงว่ายังไม่ได้สละเพศชายนะ
พฤติกรรมการชกต่อยกันแบบนั้นเป็นพฤติกรรมของเพศชาย การสละเพศนั้นจะต้องไม่ยึดถือว่าตนเป็นชายหรือหญิงแล้วจริงๆ
ครับ
๓ สละซึ่งตำแหน่งและยศศักดิ์
เรื่อง
“ยศฐาบรรดาศักดิ์” นั้นเป็นของทางโลกมิใช่ของทางธรรม ถ้าเขาจะเอาคืนจากเราๆ
ก็ให้เขาไป เช่น ยศพระราชาคณะ ก็ดี, ยศเจ้าอาวาส ก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นของทางโลกทั้งนั้น
ของสมมุติทั้งนั้น เมื่อเขาจะให้เราออกจากตำแหน่งพวกนี้ก็ยกให้เขาไปเท่านั้นเอง
ทว่า พระบางรูปก็ทำไม่ได้นะ ยึดตำแหน่งเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
แต่แสดงละครหลอกคนทั่วไปว่าไม่ยึดถืออะไร เบื้องหลังแอบไปสั่งการให้คนนั้นคนนี้ต่อสู้ให้ได้ตำแหน่งคืนมาก็มี
แย่กว่านั้นพระบางรูป “ไต่เต้า” ด้วยวิธีที่ผิดๆ เช่น การเอารถเก๋งไปถวายพระผู้ใหญ่เพื่อ
ให้ได้มาซึ่งตำแหน่งพระสูงๆ
ก็มี ส่วนฆราวาสที่สละตำแหน่งทางโลก ก็ต้องอยู่อย่างคนธรรมดาให้ได้ครับ
๔ สละบริวารและชื่อเสียงเงินทอง
พระจำนวนมากไม่อาจสละบริวารและชื่อเสียงเงินทองได้
หลายรูปชอบสะสมบริวาร อยากให้คนล้อมหน้าล้อมหลังเป็นพระเกจิโด่งดัง ไปไหนมาไหนมีบ่าวไพร่ดูแล
อุ้มปีกซ้ายปีกขวา มีรถเก๋งมารับอย่างดี เดี๋ยวนี้ก็มีแบบนี้เยอะฮะ
การนิยมอยู่ท่ามกลางบริวารนั้นทำให้เสีย “ความวิเวกสันโดษ” การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้าอะไรเลย
หลายรูปหลงอยู่ใน “ชื่อเสียง” อยากมีชื่อเสียง อยากโด่งดัง อยากเป็นเกจินั่นนี่
ฯลฯ อันนี้ไม่ใช่นะ การปฏิบัติจะก้าวหน้าได้จะต้องมีสติตื่นแจ้งเห็นชัดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสังโยชน์
ไม่ช่วยให้หลุดพ้นอะไรได้เลย ส่วนฆราวาสนั้นหากต้องการปฏิบัติให้ใจเป็นพระ ก็ต้องทำเหมือนกัน
คือ ไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรทั้งนั้น
๕ ทำให้คนอื่น อย่าทำให้ตัวเอง
ข้อนี้สำคัญมาก ฆราวาสที่อยากปฏิบัติให้ได้ใจพระนั้นจะต้องไม่ทำเพื่อตัวเองหากจะทำต้องทำให้ผู้อื่นครับ
เช่น พระ หากจะสร้างวัด สร้างเสร็จแล้วต้องสละออกไปเลย อยู่วัดที่ตนสร้างไม่ได้
หากจะอยู่วัดไหนก็อย่าไปสร้างวัดนั้น การสร้างวัดอยู่เองเป็นวิถีทางโลกนะ
เขาไม่ให้ทำกัน หากพระจะสร้างวัดให้พระรูปอื่น ทำได้ ก็ทำไป แต่ตัวเองต้องสละออกไปเสีย
ส่วนฆราวาสนั้นก็เช่นกัน ทำอะไรให้ตัวเองไม่ได้เลย ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เลย
แต่ทำให้คนอื่นได้ เช่น
เงินฝากในธนาคารอาจฝากไว้เพื่อให้พ่อแม่ไว้ใช้ลงทุนทำธุรกิจ
แต่เราเองไม่ได้คิดจะใช้ แบบนี้ถือว่าใช้ได้ ปลูกต้นไม้ก็อย่ายึดเป็นของตัวเอง
ใครมาขอดอกผลหรือใบอะไรก็ให้เขาไปครับ
การดำรงอยู่โดยไม่ถือครองทำได้จริง
แต่ไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ใครก็ทำได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น