ดำรงอยู่โดยไม่ถือครอง ทำได้หรือ?
หลายคนชอบพูดโอ้อวดธรรมะแต่ทำไม่ได้จริงโดยเฉพาะคำว่า
“ไม่ใช่ตัวกูของกู เราไม่ยึดอะไรแล้ว” นี่ชอบพูดกันมาก แต่ถามว่าทำได้จริงหรือ?
หลายคนทำไม่ได้ดี แต่พูดโอ้อวดก็เท่านั้น “หลวงปู่ตื้อ” เคยด่าให้สติผู้หญิงคนหนึ่งที่ดีแต่ปากเพราะคิดว่าธรรมเป็นของง่ายมาแล้ว
ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายดังต่อไปนี้
๑ ไม่ใช่ดีแต่พูดโอ้อวดเป็นปรัชญาสวยหรู
หลายคนชอบพูดโอ้อวดว่า
“ไม่มีตัวกูของกูแล้ว” ไม่ใช่ตัวตนของตนแล้ว ไม่ยึดอะไรแล้ว ทว่า นี่ล้วนตอแหล
เพราะผู้พูดทำไม่ได้จริง เหมือนคำพูดสวยหรูแต่ทำไม่ได้จริงทั้งหลายที่คอยกล่อมหลอกฟันสาวๆ
ยังไงยังงั้น ถามหน่อย ที่พูดว่าไม่ใช่ตัวกูของกูนั้น บ้านเป็นของคุณไหม?
ที่ดินของคุณหรือเปล่า? รถยนต์ของคุณไหม? หลายคนถือครองเป็นเจ้าของอะไรมากมายครับ
แต่ปากกลับพล่ามพูดว่าไม่ใช่ตัวกูของกู อย่างหน้าด้านๆ ไม่อายใคร
พูดเก่งแต่ทำจริงไม่ได้เลย เพราะคิดว่าแค่คิดว่าไม่ยึดเป็นตัวกูของกูก็พอแล้ว อ้าว
แค่คิดมันก็ได้แค่ “มโนกรรม” สิครับ แล้ว “กายกรรม” มันก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำจริง
แบบนี้เรียกว่าโกหกหลอกลวงครับ
๒ การดำรงอยู่แบบไม่ถือครองทำได้จริง
ไม่ต้องมาพล่ามพูดว่า
“ไม่ยึดตัวกูของกู”
หยุดดีแต่พูดครับ แล้วทำให้ได้จริง ก็จะรู้ว่าการดำรงอยู่แบบไม่ถือครองนั้นมีอยู่จริง
และทำได้จริง เช่น การดำรงอยู่ของพระ ถามว่าวัดเป็นของพระไหม?
คำตอบคือ ไม่ใช่ฮะ พระจริงๆ มีแต่อัฐบริขารแปดอย่างเท่านั้นเอง วัดนั้นไม่ใช่ของพระ
เห็นไหมว่าการดำรงอยู่โดยไม่ถือครองนี้มีอยู่จริง ทำได้จริง เอาละ แล้วฆราวาสละ
ทำได้ไหม? คำตอบคือ ได้เช่นกัน เช่น การไม่ถือครองที่ดิน ไม่ถือครองโฉนด
ถามว่าอยู่ได้ไหม? ได้ครับ เรียกว่า “การครอบครองปรปักษ์” คือ
อยู่ในที่นั้นเกินสิบปี กฏหมายก็คุ้มครองให้เราอยู่ได้ครับ
โดยไม่ต้องถือครองโฉนดที่ดิน นี่คือตัวอย่างให้เห็นว่าเป็นไปได้ ทำได้จริงครับ
๓ อนัตตาไม่ใช่ทฤษฎีสวยหรูไว้พูดเท่ห์ๆ
แต่เป็นสัจธรรมความจริง
ต้องทำให้ได้จริง ไม่ใช่ดีแต่พูด แต่หลายคนดีแต่พูดดีแต่ปาก
พล่ามอวดโชว์คนอื่นว่าไม่ใช่ตัวกูของกู ไม่ยึดตัวกูของกูแล้ว
แต่ทำไม่ได้จริงดังกล่าว เพราะอะไร? เพราะถ้าคุณทำไม่ได้ คุณก็ไม่หลุดพ้น เช่น
บ้าน คุณถือครองเป็นเจ้าของอยู่ ถ้าคุณตายไป ไม่หลุดพ้นหรอก มีสิทธิ์เป็นผีบ้านผีเรือน
ของต่างๆ ที่มีก็เหมือนกัน ถ้าคุณยังถือครองอยู่ ถาวรวัตถุพวกนี้ทำให้คุณกลายเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์ได้
ทุกสิ่งที่คุณถือครองเป็นเจ้าของนั่นละ ทำให้คุณไม่หลุดพ้น แม้ปากคุณจะพล่ามว่าไม่ยึดตัวกูของกูแล้วก็ตามแต่ถ้าทำไม่ได้จริง
จะมีประโยชน์อะไร? แต่คุณต้องไม่ลืมว่าอนัตตาไม่ใช่นิรัตตานะ ไม่ใช่ไปปฏิเสธหมดทุกอย่าง
๔ ดำรงอยู่แบบไม่ถือครอง แบบอนัตตา
คุณไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไม พระสมณโคดมเป็นองค์รัชทายาท
ทำไมไม่กลับบ้านเมืองตัวเองรับสมบัติแล้วให้พระสงฆ์สาวกมาอยู่ในบ้านเมือง
ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเสียเลย พระสมณโคดมไม่ใช่คนโง่นะ แต่ท่านก็ไม่ทำ ทำไมละ?
ก็เพราะว่าท่านกำลังดำรงอยู่แบบไม่ถือครอง แบบอนัตตาไงละ
ไม่ใช่ทั้งแบบอัตตาและแบบนิรัตตานะ บางคนไปปฏิเสธทุกอย่างไม่เอาอะไรสักอย่าง
อยู่แบบโยคีชีเปลือยเลยก็มี แต่พุทธเราไม่ใช่เช่นนั้น เราเป็นทางสายกลาง เราไม่ได้ปฏิเสธทุกอย่างแบบลัทธินิรัตตา
ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ถือครองแบบพวกอัตตา ดังที่ยกตัวอย่างว่า วัดนั้นไม่ใช่ของพระ
แต่พระก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะอยู่วัดโดยไม่ถือครองครับ
๕ ดำรงอยู่แบบไม่ถือครอง แบบฆราวาส
ถามว่าฆราวาสจะอยู่แบบไม่ถือครองได้หรือไม่?
คำตอบคือ ได้ครับ ได้ตามบารมีที่สร้างมา ดังกรณีที่ชายยกตัวอย่าง การครอบครองปรปักษ์คือไม่ถือครองโฉนดที่ดิน
แต่กฏหมายก็คุ้มครอง ให้สิทธิ์เราอยู่ได้ครับ เราจะต้องไม่ดีแต่พูด
เอาแต่พล่ามอวดโชว์ธรรมะไปวันๆ แต่เราจะต้องทำให้ได้จริง
เช็คดูว่าเราครอบครองอะไรอยู่บ้าง แล้วปลดภาระ ไม่ใช่การละทิ้งหรือปฏิเสธนะ
แบบนั้นคือลัทธินิรัตตา แต่ให้บำเพ็ญธรรมจนถึง
จุดที่ดำรงอยู่โดยไม่ครอบครองให้ได้ ซึ่งเป็นไปได้จริงฮะ
บางคนบำเพ็ญบารมีจนได้อยู่ในสถานธรรม ในที่ๆ เขาจัดให้ก็มี แม้แต่รถยนต์นะ
บางคนสร้างบารมีจนแม้ไม่มีแต่ก็มีคนขับรถมารับ มาดูแล ขับรถให้ก็มีครับ
คนรวยที่แท้จริงจะต้องไปให้ถึงจุดที่ไม่ครอบครองแต่ดำรงอยู่ให้ได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น