นิรัตตา อัตตา อนัตตา
หลายท่านยังไม่แจ้งในคำสามคำนี้
และหลายคนมักคิดว่า “อนัตตาคือความไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวตนเลย” ซึ่งไม่ถูกต้องนะครับ
เพราะความไม่มีตัวตนนั้นหมายถึง “นิรัตตา”
ต่างหาก ไม่ใช่อนัตตาครับ อีกทั้งแนวคิดนิรัตตาที่เชื่อว่าไม่มีตัวตนกำลังระบาดในไทยอย่างหนัก
พวกนี้จะคิดและสอนคนอื่นว่า “ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ซึ่งเป็นคำสอนที่เสี่ยงมากที่คนจะเข้าใจผิดจนไม่มีศีลธรรมอะไรเลย
เช่น คิดว่าฆ่าคนก็ไม่ผิดสิ เพราะไม่มีตัวตนแล้ว ใช่ไหมครับ? นี่ละที่พุทธไม่สอนว่าตัวตนไม่มีอยู่จริงแบบลัทธินิรัตตา
เพราะอาจทำให้คนไม่ศีลธรรมเอาได้ ในบทความนี้จะขออธิบายถึงคำสามคำนี้
คือ นิรัตตา, อัตตา และอนัตตา ดังต่อไปนี้
๑ นิรัตตา
ลัทธินิรัตตามีความเชื่อว่า
“ตัวตนไม่มี” ไม่มีสัจธรรมอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนความว่างเปล่าครับ หลายคนมักหลงคิดว่าแนวคิด
“นิรัตตา” นี้คือ “อนัตตา” แท้จริงแล้วไม่ใช่นะฮะ ลัทธินิรัตตาเป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับลัทธิอัตตาเท่านั้นเอง
เหมือนสำนักสองสำนักที่สอนคนตรงข้ามกัน เป็นการสุดโต่งไปคนละทางกัน
และมิใช่คำสอนพุทธ แนวคิดนิรัตตานั้นยึดมั่นความไม่มีตัวตนเป็นสำคัญ
มีท่าไม้ตายคือ “การปฏิเสธทุกอย่าง” ง่ายต่อการใช้ถกเถียงกับลัทธิอื่นๆ
เรียกว่าไม่ว่าลัทธิอื่นๆ จะพูดอะไรออกมาเราก็แค่ปฏิเสธไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ผู้ที่เชื่อในลัทธินี้จึงไม่ต้องปฏิบัติธรรมอะไรมากมายเลย เป็นพวกปฏิเสธทุกอย่างไปเรื่อยๆ
เท่านั้นเอง แต่ไม่มีญาณหยั่งรู้ใดๆ จริง ไม่สำเร็จมรรคผลจริง ไม่ได้ปัญญาญาณใดทั้งสิ้น
ผู้ที่เชื่อในลัทธินี้เลยดูเหมือนมีภูมิปัญญาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องปฏิบัติอะไรทั้งนั้น
อยู่ๆ ก็ปฏิเสธทุกอย่างไว้ก่อนเลย ง่ายดี แท้แล้วการยึดมั่นว่าตัวตนไม่มี ก็เป็นการยึดมั่นการมีอยู่ของอัตตาอีกแบบเช่นกัน
แต่เป็นไปในทางตรงข้ามเท่านั้นเอง คือ เอาความมีตัวตนมาเป็นที่ตั้ง แล้วก็ทำการปฏิเสธว่าสิ่งนี้ไม่มีอยู่
ไม่ว่าจะเชื่อว่าอัตตามีอยู่หรืออัตตาไม่มีอยู่ก็ล้วนเอา “อัตตา” มาเป็นตัวตั้งต้นในการคิดทั้งสิ้นครับ
แค่คิดไปทางบวกหรือลบก็เท่านั้น
๒ อัตตา
ลัทธิอัตตามีความเชื่อว่า
“ตัวตนที่แท้จริงมีอยู่” คือ วิญญาณของเรา ที่เป็นอมตะ
ส่วนร่างสังขารของเราก็เน่าสลายไป ทว่า พระสมณโคดมได้ค้นพบว่า “ขันธ์ห้าไม่เที่ยง”
รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ นี้ไม่เที่ยงครับ ทรงผ่าน “ขันธปรินิพพาน” มาแล้วก็ทราบว่าวิญญาณมิใช่ตัวเที่ยงที่จะยึดมั่นถือมั่นได้แน่นอน
ทว่า ลัทธินี้ปฏิบัติมาตามหลักคำสอนของพราหมณ์เรื่อง “อาตมัน”
ที่เชื่อว่ามีอาตมันที่แท้อยู่ และพวกเขาก็ทราบว่ามีวิญญาณอยู่ในร่างกาย
พวกเขาเห็นวิญญาณได้ พวกเขาเห็นความไม่เที่ยงของสังขารได้ พวกเขาก็เลยได้ข้อสรุปว่า
“วิญญาณนี่แหละคืออาตมัน” คือ ตัวตนแท้ และมีความเป็นอมตะ ตรงนี้เองที่แตกต่างไปจากคำสอนพราหมณ์เดิม
เพราะคำสอนพราหมณ์เดิมสอนแค่ว่า “มีอาตมันที่แท้จริงอยู่” เท่านั้น
แต่มิได้บอกว่าวิญญาณคืออาตมันแต่อย่างใด ทว่า เมื่อลัทธินี้เชื่อและยึดมั่นไปแล้วว่าวิญญาณนี่แหละเที่ยง
และเป็นอาตมันที่พวกเขาค้นหา พระสมณโคดมจึงเรียกว่าลัทธิอัตตา
คำว่าอัตตาแท้จริงไม่มีอยู่ อัตตานั้นไม่มีอยู่จริง แต่เป็นความหลงผิดคิดว่ามีจริง
ดังนั้น ลัทธินี้จึงไม่ได้เรียกวิญญาณว่าอัตตา
เพราะคำว่าอัตตามันไม่มีอยู่จริง คำว่าอัตตานั้นพระสมณโคดมใช้สมมุติบัญญัติขึ้นมาเรียกความเชื่อของลัทธิเหล่านี้เท่านั้นเอง
๓ อนัตตา
“มีตัวตนก็ไม่ใช่
ไม่มีตัวตนก็ไม่ใช่” จะอธิบายอนัตตา อธิบายอย่างไรก็ไม่ถูกครับ
เมื่อพระสมณโคดมตรัสรู้นั้น ท่านแจ้งในนิพพาน ท่านเห็นวิญญาณไม่เที่ยง นิพพานไปในขณะเกิดขันธปรินิพพาน
และเห็นจิตที่เผยออกมาสว่างไสวเรียกว่า “จิตประภัสสร”
แน่นอนว่าวิญญาณนั้นไม่เที่ยงแต่จิตก็ไม่เที่ยงเช่นกัน ท่านมิได้ยึดเอาจิตเป็นอาตมัน แต่ท่านเห็นแจ้งตรงต่อ “นิพพาน” ต่างหาก
เช่นนี้ท่านจึงได้แสดง “ปรมัตถธรรม”
จำแนกไว้สี่อย่างได้แก่ จิต, เจตสิก, รูปและนิพพาน ท่านไม่ได้สอนว่าให้เราหลงจิตเป็นอาตมัน
จิตคือของเที่ยงแท้ มิใช่ครับ เพราะท่านแจ้งในความไม่เที่ยงทั้งปวงแล้ว
จิตท่านก็ตรงต่อนิพพานเท่านั้นเองแต่ก่อนที่เราจะแจ้งในนิพพานได้ เราจะต้องค่อยๆ
รู้แจ้งแทงตลอดไปทีละข้อธรรม อย่างแรกคือ “จิต” เราจะแจ้งหรือยังเรื่องจิตประภัสสร?
ก่อนที่จะแจ้งในนิพพาน? หลายคนไม่แจ้งเรื่องจิตประภัสสรว่า “บริสุทธิ์อยู่แล้ว
แค่มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราวเท่านั้น” เลยมัวไปทะเลาะกับกิเลสก็มี
หลายท่านไม่แจ้งว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาเลยมัวไปทะเลาะกับมันอยู่ก็มี บางคนมัวไปทะเลาะกับจิตสังขาร
121 ดวง
เพียรจมอยู่ตรงนั้น ทั้งที่จริงแล้วทุกอย่าง อนัตตาแต่แรก
คำว่าอนัตตาในที่นี้ไม่ได้แปลว่าไม่มีนะ ถ้าแปลแบบนั้นจะกลายเป็นพวกลัทธินิรัตตาได้ครับ
หลายคนยังมีความเชื่อแบบลัทธินิรัตตาอยู่
นั่นไม่ใช่อนัตตาครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น