สติที่ควรมีในการใช้สื่อในปัจจุบัน
อย่าเพิ่งหลงว่าตัวเองจะได้นิพพานอะไรเลยครับ
“เพราะแม้แต่สติจะใช้สื่อยังไม่มี” จริงไหม? เอาละ เรามาเริ่มต้นที่พื้นฐานกันก่อน
พละห้าซ่อมให้มันดีก่อน สติเจริญให้ดีหรือยัง? มีกันหรือยัง? ใช้สื่ออย่างมีสติได้หรือยัง?
หลายคนยังทำไม่ได้เลย เอ? ไม่มีสติในการใช้สื่อตรงไหน? ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้
๑ สติที่จะไม่บ้ากล้อง
หลายคนบ้ากล้องจนขาดสติแต่ไม่รู้ตัวว่าไม่มีสตินะ
เพราะหลงคิดว่าการไม่มีสติก็คือคนบ้า ไม่ใช่ เข้าใจผิด การไม่มีสติคือ “การหลงเพลิน”
เหมือนสัตว์ในป่าที่หลงเพลินกินอาหารที่เขาเอามาล่อ
สุดท้ายติดบ่วงที่เขาดักไว้น่ะละ ทีนี้ ย้อนกลับมาดู ให้เราลองสังเกตุนะ
คนที่ใช้กล้อง, มือถือ ฯลฯ ถ่ายรูปตัวเอง ไม่ค่อยมีสติคือ มักมีอาการ “หลงเพลิน”
ไหม? บางทีไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัวอะไรเลย เพราะมัวเพลินอยู่กับการถ่ายรูปอยู่นี่ละ
ที่จริงการใช้กล้องก็ไม่ต่างจากการใช้ปืนนะ มันคืออาวุธอย่างหนึ่ง
คือดาบสองคม เมื่อใดที่เราหันกล้องเข้าหาตัวเองก็เหมือนเอาปืนกลับเข้าหาตัวเองน่ะละ
คนที่ตายด้วยกล้องก็คือคนที่ตกเป็นทาสมัน บ้ากล้อง
๒ สติที่จะไม่บ้าข่าว
หลายคนบ้าข่าว
ข่าวออกมาทางไหนก็ไหลไปตามกระแสเหมือนปลาตายลอยตามน้ำนะ ข่าวออกมาว่าเขาดี
เราก็หลงเขาเป็นบ้าเป็นหลัง ข่าวออกมาว่าเขาเลว เราก็เกลียดเขาเป็นบ้าเป็นหลังอีกเช่นกัน
แท้จริงแล้วเรากำลัง “ขาดสติ” และไม่รู้อะไรจริงเลย เราแค่ “รับรู้มาบางด้าน”
ผ่านสื่อที่เสนอบางด้านให้เราเห็นเท่านั้นละ แต่หลายคน “เป็นเอามาก” การพยายาม
ทุ่มเท ตื่นตัว และมีส่วนร่วมกับสังคม เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ต้องมีสติร่วมด้วยนะ
หลายคนขาดสติไป เมื่อขาดสติก็หลุดลอยไปตามกระแสสื่อแล้วแต่ว่าสื่อจะให้ไหลไปทางใด
ต้องตั้งสตินะ แล้วหยุดตัวเองให้ได้ นิ่งๆ ไว้ อย่าไหลตามกระแส
มีสติรู้ตัวว่าเราควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
๓ สติที่จะไม่บ้าไลค์
หลายคนบ้าไลค์
พอมียอดไลค์เยอะๆ มีคนมารุมชอบ หลงตัวเองเลย ขาดสติเลย หลุดลอยไปเลย
ทีนี้ละ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรละ เตลิดเปิดเปิงไปบางคนถึงขนาดแก้ผ้าร่อนนม
แกว่งควย เออขาดสติไปขนาดนั้นเชียวนะ อันนี้ “อาการหนัก” แล้ว เกินเยียวยา
แต่ยกตัวอย่างมาให้ดูชัดๆ ว่าอ๋อ ขาดสติเพราะไลค์ มันเป็นแบบนี้เอง เอาละ
ทีนี้มาดูคนที่ขาดสติแบบเนียนๆ ดูได้ยากบ้าง พวกนี้จะขาดสติ หลงยอดไลค์
หลงกับการที่ได้รับการยอมรับจากคนมากมาย แต่อาจไม่แสดงออกชัดเจน เวลามีคนไปสะกิดเตือนอะไรไม่ฟังใครทั้งนั้น
เพราะคิดว่าตนเองแน่แล้ว เหนือกว่าใครเขาแล้ว เพราะมีแต่คนมาชอบ มารุมไลค์มากมาย
นี่ก็เรียกว่าขาดสติเช่นกัน
๔ มีสติที่จะไม่บ้ารูป
หลายคนขาดสติเพราะ “รูป” วันๆ รับสื่อเห็นรูปสวยๆ
งามๆ ของดารามากมาย ตัวเองก็เริ่มขาดสติ หลงลืมตัวว่าตนคือใคร? จะเกิดอาการอะไรขึ้นครับ?
ก็เช่น พยายามทำตัวให้เหมือนดารา ต้องถ่ายรูปโชว์ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ดารา คนปกติที่ไม่บ้านั้นเขาถ่ายรูปบ้างตามมารยาทสังคม
เช่น งานพิธีรับปริญญา เอ้า เขาก็ถ่ายกันบ้าง นานทีปีหน ไม่ใช่ทุกวัน จริงไหมครับ?
แต่บางคนนี่ไม่ใช่ ถ่ายรูป หลงรูปตัวเองทุกวัน ลงสื่อทุกวัน เฮ้ย
แม้แต่ดาราเขาก็ไม่ได้จะเอารูปลงสื่อทุกวันนะ มีสติกันดีหรือเปล่า?
มีสติกันบ้างไหม? นี่เพราะ “บ้ารูป” จนขาดสติ บางคนทำงานผ่านสื่อ ขายของผ่านสื่อ
ก็ออกสื่อธรรมดา แต่บางคนไม่ใช่ ทำไปเพราะหลงรูปครับ
๕ มีสติที่จะไม่บ้าสังคม
หลายคนบ้าสังคมจนขาดสติ
เพราะเคยชินกับการเข้าสังคมเหมือนคนบ้านนอกที่เข้าสังคมกัน แล้วสังคมไปทางไหน
เราก็ต้องไหลไปตามนั้นด้วย สังคมโซเชี่ยลนั้นเป็นสังคมเสมือนจริงแต่ไม่ใช่สังคมจริงๆ
ทว่า หลายคนหลงมัน ขาดสติกับมัน พอเห็นคนส่วนใหญ่ชอบทีมหมูป่า เฮ้ย
กูก็ต้องชอบด้วย พอเห็นคนไปเกลียดลีน่า จัง เฮ้ย กูก็ต้องเกลียดด้วย?
ยังงั้นเลยหรือ? นี่ไง ที่ชายบอกว่า “บ้าสังคม” จนขาดสติ บ้าเสียงหมู่มาก
เสียงหมู่มากลากพาไปไหน กูต้องไปทางนั้น นี่ไม่ใช่ ปชต. นะ
หลายคนเข้าใจผิดมากคิดว่า “เสียงส่วนใหญ่ ก็คือ ปชต.” ไม่ใช่นะครับ
เสียงส่วนใหญ่นั้นเขาไว้ตัดสินความขัดแย้ง แต่ตัวมันเองไม่ใช่องค์ประกอบของ ปชต.
หากไม่เข้าใจระบบคู่ตรงข้ามนี้
ก็จะเข้าใจมนุษย์ผิดไปได้เลยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น