ความหลุดพ้น
การรู้ธรรมมาก
รู้เยอะ เก่งมาก เถียงเอาชนะใครได้หมด ไม่ช่วยให้เราหลุดพ้นอะไรได้เลย
คนเราจะหลุดพ้นได้นั้นจะต้องปล่อยคลายความพัวพันของจิตต่อสิ่งต่างๆ ให้ได้ก่อน
แต่หลายคนมักอุปทานไปเองว่าตนไม่ยึดติดอะไรแล้ว ซึ่งไม่จริงครับ
ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความถึงการหลุดพ้นในแง่ต่างๆ
ดังต่อไปนี้
๑ สละสมบัติต่างๆ
ทางโลก
การสละทุกสิ่งทางโลกเป็นทางช่วยให้หลุดพ้นได้
เช่น พระที่สละทางโลกแล้วออกบวช, กษัตริย์ที่สละราชให้ผู้อื่นก่อนสิ้นพระชนม์,
พ่อแม่ที่ยกสมบัติให้ลูกก่อนตาย ฯลฯ เหล่านี้ จะช่วยให้หลุดพ้นจากการยึดติดในสมบัติได้ครับ
หลายคนคิดว่าเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องทำจริงก็ได้ อยู่ที่ “ใจ” ต่างหาก ใจไม่ยึด ก็ไม่ยึด
จริงๆ แล้วเขาหลอกตัวเองครับ คนที่ไม่ยึดจริงๆ ก็จะต้อง “ทำจริงด้วย” คือ
ไม่ถือครองสมบัติทางโลก ไม่ใช่ดีแต่คิดไปเองก็คือ “อุปทาน”
หรือดีแต่พูดอวดคนอื่นว่าสละแล้ว ไม่ยึดติดอะไรแล้ว แบบนี้ก็ไม่ได้ผลจริง
การมีลูกก็ดีที่เรามีคนรับสมบัติต่อจากเรา
แต่เราจะต้องสละทุกสิ่งก่อนที่จะตายด้วย
เราจึงจะหลุดพ้นจากมันได้ครับ
๒ สละความผูกพันในบุคคล
ความอาลัย,
ผูกพัน, ความรักต่อคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่, พี่น้อง, ญาติมิตร, ลูกเมีย ฯลฯ
เหล่านี้ก็ผูกมัดให้เราไม่หลุดพ้นได้เช่นกัน คนที่จะหลุดพ้นได้จริงจะต้องสละความยึดติดในสิ่งเหล่านี้
บางคนสละลูกเมียได้ก็จริง แต่หลังจากนั้นโด่งดัง มีคนมากราบไหว้เรียกเป็นพ่อใหม่
ก็ไปรับเขามาผูกพันกับตนเหมือนลูกอีก อันนี้ ก็ไม่หลุดพ้นนะ เข้าใจไหม? คือ ปลดบ่วงเก่าออกได้
แต่บ่วงใหม่มันมาแทน หลายคนมาตกม้าตายเอาแบบนี้ ตอนแรกเหมือนจะหลุดพ้นดีแล้ว เป็นพระธุดงค์ที่เคร่งดีแล้ว
ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว แต่มาหย่อนเอาในภายหลัง พระบางรูปไม่เอาลูกเมียแล้ว แต่มามีลูกศิษย์มากมายเอาทีหลัง
แบบนี้ก็ไม่หลุดพ้นเช่นกันครับ
๓ ทำกิจของตนให้เสร็จสมบูรณ์
กิจต่างๆ เป็นเครื่องผูกมัดเราได้อีกประการ
คนเราจะเอาตัวเองรอดโดยไม่ทำอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่จะหลุดพ้นไปได้จะต้องทำงานให้ส่วนรวมก่อนเสมอ
เรียกว่า “จบกิจ” ทำกิจที่คั่งค้างให้หมดสิ้น จึงหลุดพ้นได้
บางคนเมื่อละสังขารตายลง จิตของเขาผูกพันกับหน้าที่การงาน ทำให้จิตไม่ยอมไปไหน
วนเวียนอยู่กับงานที่ตนทำ กิจที่คั่งค้างอยู่ ก็มี ดังนั้น
การทำกิจให้จบย่อมช่วยให้หลุดพ้นได้ด้วยประการฉะนี้ หลายคนที่มีกิจทางโลกมาก
หากสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับต่อแทนได้ ก็จะหลุดพ้นได้
แต่หากไม่มีใครรับช่วงดูแลต่อก็อาจตายตาไม่หลับทำให้ไม่หลุดพ้น
ความหลุดพ้นนี้มีได้ทั้งพระและฆราวาส แต่ต้องฏิบัติให้ได้จริงก่อนครับ
๔ ทำพรหมจรรย์ให้จบสิ้น
“จบกิจ จบพรหมจรรย์”
คำนี้มีกล่าวไว้ในพุทธศาสนาครับ เป็นหนทางหลุดพ้นได้ คำว่า “จบพรหมจรรย์” นี้ หมายถึง ทำให้ถึงที่สุดของการเจริญพรหมจรรย์
ไม่ใช่ทำไม่ถึงที่สุดเลยต้องทำไปเรื่อยๆ
ไม่รู้จะจบตรงไหน ทีนี้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะจบพรหมจรรย์ละ?
ก็ต้องกลับมาดูว่าอะไรคือพรหมจรรย์ที่แท้จริง
พรหมจรรย์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีกามหรือไม่มีกามครับแต่อยู่ที่
“ความใสซื่อบริสุทธิ์ของใจเรา” เมื่อใจเราใสบริสุทธิ์ดุจทารก นั่นแหละคือ
“พรหมจรรย์ที่สมบูรณ์” ณ จุดนั้น เราจะไม่มีความรู้สึกบวกหรือลบต่อกามเลย แต่มองว่ากามเป็นเรื่องของการสืบพันธุ์ของสัตว์
เราก็จะไม่ลุ่มหลงและไม่ต่อต้านกาม เห็นเป็นธรรมะ ธรรมชาติไป
๕ ทำนิพพพานให้แจ้ง
พุทธศาสนามิได้สอน
“ทำความดี, ละเว้นความชั่ว, ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” แต่สอนให้ “จบกิจ, จบพรหมจรรย์
แล้วทำนิพพานให้แจ้ง” นี่ต่างหากครับ อันนี้มันซับซ้อน คุณต้องทำความเข้าใจดีๆ
คำว่า “จบพรหมจรรย์” ทำให้พวกพราหมณ์คิดว่าพุทธสอนให้เลิกบำเพ็ญพรหมจรรย์, เลิกปฏิบัติแบบพราหมณ์
เขาเลยมาแก้ใหม่ ด้วยการเอาคำสอนว่า “ทำความดี, ละเว้นความชั่ว,
ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” มาแทนที่ เพราะคนเราถ้าคิดตื้นๆ แบบลูกคลำธรรมะแต่เปลือก
ทุกคนก็ต้องมองว่าคำสอนนี้ดี ถูกต้อง เพราะสอนให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว แต่จริงๆ
แล้วไม่ใช่หัวใจของพุทธศาสนาครับ หัวใจของพุทธศาสนาคือ การทำนิพพานให้แจ้ง ต่างหาก
การทำดี
อาจยิ่งทำให้เรายึดติดกับผลบุญและความดีที่ทำครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น