สละอย่างไรให้หลุดพ้น?


ในบทความก่อนได้อธิบายแล้วว่าพุทธศาสนาเราสอนเรื่องการสละ ไม่ใช่การทำบุญเอาบุญอะไร บุญนั้นทำแล้วท่านให้กรวดน้ำอุทิศออกให้คนตายให้หมดครับ และพระท่านก็ไม่ต้องทำบุญแล้ว แต่จะมีการปฏิบัติในธรรมวินัยครับ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องการ “สละ” เพื่อให้หลุดพ้นได้อย่างไร? ดังจะอธิบายต่อไปนี้

๑ การสละไม่ใช่การทำบุญหรือการให้
บางท่านอาจไม่ได้ทำบุญ ไม่ได้ให้อะไรใครเลย นั่นไม่สำคัญครับ สำคัญที่ “ใจ” ของเราสละออกจริงไหม? ถ้าสละออกได้จริง มันก็ได้ผลจริง ถ้าสละออกไม่ได้จริง มันก็จะยังมีจิตพัวพันอยู่ เอาง่ายๆ บ้านเราๆ ยกให้คนอื่นได้ไหม? ร้อยทั้งร้อย ทำกันไม่ได้หรอกครับ ดังนั้น หลายคนตายแล้วกลายเป็นผีบ้านผีเรือนก็มีเยอะไป สาวกบริวารเรายกให้คนอื่นได้ไหม? ร้อยทั้งร้อยไม่ยอมยกให้ใครให้โง่หรอก หลายคนตายแล้วกลายเป็นปีศาจตัวพญา เพราะเหตุนี้ เพราะหลงทางคิดว่าเราทำบุญเยอะแล้ว เราให้คนมามากมาย แต่จิตใจของเขากลับยังยึดติดอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง “สละไม่ออก” สละไม่ได้ จิตที่สละออกไม่ได้นี่ละ ทำให้หลุดพ้นไม่ได้

๒ การสละเป็นการเลื่อนระดับของจิต
การให้และการทำบุญนั้น จิตวิญญาณไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนะ ยังเหมือนเดิม แค่ทำบุญ ทำความดีเยอะขึ้นเท่านั้นเอง จิตยังอยู่ระดับเดิมนะ แต่การสละนั้นส่งผลให้จิตเลื่อนระดับสูงขึ้นได้ จิตที่ผูกมัดกับของทางโลก มันจะผูกติดกับของสิ่งนั้น จิตมันจะไปสูงกว่าสิ่งนั้นไม่ได้ แต่ถ้าจิตมันสละออกได้ มันจะสูงขึ้นเลยนะ และจิตที่มีกำลังในการสละออกมา ก็จะมีกำลังในการหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ ได้มาก ไม่เกี่ยวกับว่ามีปัญญาแค่ไหน รู้ธรรมะมากเท่าไร ไม่เกี่ยวเลยนะ อยู่ที่จิตของเราจะสละได้มากแค่ไหน ก็เท่านั้นเอง ความหลุดพ้นนั้นอยู่ตรงนี้เอง พระสมณโคดมนั้นได้ค้นพบความลับของจิตเรื่องนี้ ท่านก็สละทางโลกหมดเลย

๓ ไม่จำเป็นต้องให้ อยู่ที่ใจที่ไม่เอา
การปฏิบัติธรรมสำคัญที่ใจนะ ใจที่มันตื่นแจ้งแล้วจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นภาระ ล้วนเป็นพันธนาการแก่เราทั้งสิ้น เรามีความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดแล้วจริงๆ เราเลยไม่เอาอะไร จิตที่ไม่เอาอะไรกับใครอีกแล้ว มีภาษาพระเขาเรียกว่า “อตัมมยตา” ไม่ใช่การทำทาน ไม่เกี่ยวว่าต้องให้อะไรใคร ไม่ใช่การทำบุญให้มากแค่ไหน? แต่อยู่ที่ใจเรานี้ ใจเราเบื่อหน่ายในการครอบครองแล้วจริงๆ หรือไม่? ใจเราสละคลายออกได้จริงๆ หรือเปล่า โยมหลายคนนะ มาทำบุญ กลับไปบ้านยังขี้เหนียว ยังงกเหมือนเดิม บ้างก็ว่างกเพื่อจะได้เอาเงินมาทำบุญไงละหลวงพ่อ อันนี้ผิดทางละนะ จิตไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหนได้เลย จิตมีแต่จะเอาเท่านั้นเอาบุญ

๔ พระปฏิบัติที่ใจ ไม่จำเป็นต้องไปทำบุญ
ใครสอนให้พระไปทำบุญ? ใครสอนให้พระไปสร้างวัด? ใครสอนให้พระไปทำความดีหรือไม่ดี? ไม่มีในพุทธนะ พุทธเราไม่สอนอย่างนี้ เรามีธรรมวินัยของเราอยู่ เมื่อเราสละทางโลกได้จริงๆ มันก็หลุดพ้นทางโลกได้ ทางโลกมีอะไร? ก็โลกธรรมแปดนี่ไง ท่านสอนไว้ว่า ได้ลาภ, เสื่อมลาภ, ได้ยศ, เสื่อมยศ, สรรเสริญ, นินทา, มีสุข ก็มีทุกข์ คนเราไปติดในอันใดอันหนึ่งในโลกธรรมแปดนี้ ก็เรียกว่ายังติดข้องอยู่ในทางโลก ไม่พ้นไปได้ ยังไม่ถือว่าเข้าสู่ทางธรรมจริงๆ จะเข้าสู่ทางธรรมจริงๆ สละออกได้ไหมความอยากได้ลาภ, เงินทอง? สละออกได้ไหมความอยากได้ยศ? สละออกได้ไหมความอยากให้คนสรรเสริญ? สละออกได้ไหมความหลงสุข?
  
๕ การทำบุญ เขาทำเพื่อโปรดผี (ยถาให้ผี)
มีคนมาเถียงว่าพุทธสอนให้ทำบุญ อันนี้ต้องตั้งสติดีว่าพุทธเราไม่ได้สอนแบบอนุบาลขี้ๆ แล้วไปหลงทำบุญกันนะ พุทธเราสอนระดับปริญญาเอก พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วค้นพบว่าบุญนี่เหมาะกับผี ไม่ใช่เหมาะกับคน ท่านก็แนะนำว่าทำบุญแล้วให้อุทิศออกด้วย สละออกไปเลย อย่าไปอยากได้บุญอีก ถ้าทำบุญแล้วยังอยากได้บุญอีก จิตมันก็ยังพัวพัน ติดอยู่นั่น มันไม่ได้การสละออกเสียที พุทธเราจึมีการกรวดน้ำ อุทิศผลบุญให้ผู้ตาย ที่หลวงพ่อจรัลบอกว่า “ยถาให้ผี สัพพีให้คน” นี่ละ คนสมัยนี้บ้าบุญ ไปทำบุญแล้วเอามาอุทิศให้คนในเฟสก็มี ไม่ใช่นะ ยังไม่มีความรู้จริงแบบชาวพุทธแท้ บ้าบุญเกินเหตุ เราเป็นคน เราทำอะไรได้มากกว่านั้น 

ชาวพุทธเพี้ยนเยอะ เพราะชอบศึกษาธรรมจากเน็ตกันเอาเองครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?