ธรรมะแท้ต้องมีลักษณะอย่างไร?
ในบทความก่อนได้ยกตัวอย่างธรรมะลวงโลกห้าแบบไปแล้ว
เพื่อให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการเรียนรู้ธรรมะที่ดี
ในบทความนี้จะขอกล่าวต่อในเรื่องธรรมะที่แท้จริงกันบ้างว่ามีลักษณะอย่างไร? เพื่อให้ท่านผู้อ่านแยกแยะระหว่างธรรมะลวงโลกกับธรรมะที่แท้จริงได้
ด้วยวิธีง่ายๆ พื้นๆ เป็นเบื้องต้นห้าประการ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ธรรมะแท้ต้องใช้ได้จริง
ของเก๊ย่อมใช้ไม่ได้จริงหรือใช้ได้จริงก็ขาดคุณสมบัติ
ไม่เหมือนของจริงที่ใช้ได้จริงครับ อย่าดูแต่เปลือกนอก อย่าตัดสินที่ความน่าศรัทธา
แบบนั้นมันละครน้ำเน่าครับ คนมาเล่นละครให้ดูน่าหลงใหลเคลิ้บเคลิ้ม
เราก็โดนของเข้าพอดี ของอะไร? ของที่ทำให้รักให้หลง ให้งมงาย ให้โง่เง่า
ยังไงละครับ ทีนี้ ก็ไม่ได้พิสูจน์แล้วว่าธรรมะนั้นใช้ได้จริงหรือเปล่า?
หรือสวยแต่เปลือกนอกเหมือนกระเป๋าปลอม? คำว่าใช้ได้จริงคือ ประยุกต์ใช้แก้ปัญหาชีวิตเราได้จริงๆ
เช่น ท่านอิคคิวซังใช้ธรรมะพื้นๆ แต่ช่วยคนได้จริง ไม่ต้องมีธรรมะสูงส่งเว่อร์ๆ ถึงขนาดจะไปนิพพานกันแล้วหรอกครับ เอาแค่พื้นๆ
ใช้ได้จริงหรือเปล่า ของจริงหรือเปล่า? แค่นี้ให้ได้ก่อนฮะ
๒ ธรรมะแท้มีคุณสมบัติ
คุณสมบัติของธรรมะคืออะไร? เช่น ทำให้ใจสงบเย็นไม่ทำให้ใจเร่าร้อนจะไปประท้วงตีรันฟันแทงกับรัฐบาลแล้ว
อีแบบนี้ไม่ใช่ละ รู้มาก รู้เยอะ เก่งเหลือเกิน แต่ใจไม่สงบเย็น ใช่ธรรมะไหมครับ?
ไม่ใช่หรอก มันคือไฟ ไฟแห่งการรู้ ไฟแห่งความรู้ มันเผาจิตใจเรา ไม่ใช่ธรรมะนะโยม
นอกจากนี้ ธรรมะต้องสว่างไสว ส่องนำทางเราได้ถูกต้อง นี่คือ คุณสมบัติของธรรมะ
เย็นเหมือนน้ำแต่สว่างเหมือนไฟ ถ้านำทางเราไปผิดๆ มันไม่ใช่ละ มันอธรรมแล้ว เช่น
นำทางเราไปก่อตั้งนิกายใหม่ ล้มล้างศีลเดิม เขาไม่ให้รับเงินทอง กูจะรับเงินทอง
ทำให้มันกลายเป็นถูกซะ เพราะกูรู้มาก กูรู้เยอะเหลือเกิน อันนี้
ไม่ใช่ธรรมะแล้วละครับ มันคืออธรรมต่างหากละ
๓ ธรรมะแท้ทำให้จิตใจสูง
ถ้าทำให้จิตใจสูงขึ้นไม่ได้
กลับทำให้จิตใจเสื่อมต่ำลงหรือเท่าเดิมไม่ไปไหน บอกได้เลยว่าธรรมะของเก๊ครับ
บางคนคิดว่าธรรมะคือธรรมดา การทำตัวเป็นปุถุชนปกติ คือ ไอ้ปกตินี่ถูกแล้ว เพราะปกติเรียกว่าศีล
แต่ไอ้ที่เป็นปุถุชนนี่ไม่ใช่ละ เพราะความเป็นปุถุชนมันไม่ได้ยกระดับจิตใจใครให้สูงได้เลย
มันมีแต่เกลือกกลั้วกับกิเลสตัณหาไปวันๆ เท่านั้นเอง ธรรมะ ธรรมดา เป็นปกติก็จริง
แต่มีลักษณะทำให้มีจิตใจสูงขึ้นได้ ดังนั้น ผู้มีธรรมย่อมจะดำรงอยู่อย่างแตกต่างจากปุถุชนแน่นอน
เขาเรียกว่า “โคตรภูญาณ” คือ ญาณตัวแรกๆ ที่คนเริ่มตื่น หลุดโพล่ง
โล่งออกมาจากทางโลก จากวิถีชีวิตแบบปุถุชนคนธรรมดา ทำให้ตื่นจากความหลงโลก
๔ ธรรมะแท้บำบัดเยียวยาใจได้
เคยได้ยินไหมคำว่า “ธรรมโอสถ” นั่นละ ธรรมะเหมือนยารักษาโรคทางจิตใจ
ของแท้ต้องทำให้จิตใจเราได้รับการเยียวยา บางอย่างเหมือนมีดต้องผ่าตัด เอามะเร็ง
เอาปมในใจออกมาก่อน เขาเรียกว่าวัชรยาน คือ ธรรมะที่มีความคม เฉียบขาด กระแทกแรงๆ
เหมือนวัชระ ธรรมเก๊นั้นจะรักษาโรคทางจิตใจ ไม่ได้ แต่มันจะหลอกว่าได้
เพราะมันทำตัวเหมือนยาฝิ่น ยาเสพติด มอมเมาให้เธอหลงใหลเคลิ้บเคลิ้ม
เสพติดมาฟังธรรมะกันยังกะคนแก่ที่ติดพระเอกลิเก แต่จิตใจไม่ได้พัฒนาไปไหนหรอก
โรคจิตใจก็เหมือนเดิม อาการเดิม มารับฟังธรรมะเท่าไรก็ไม่หายเสียทีเพราะอะไร?
เพราะมันเป็นธรรมะเก๊ๆ ไงละ ของจริงต้องรักษาใจได้ครับ
๕ ธรรมะแท้มีความเป็นกลาง
เป็นกลางต่อธรรมทั้งหลาย ไม่บวกไม่ลบ กับธรรมใดธรรมหนึ่งมากเกินไป แต่สามารถใช้ความเป็นบวกและลบได้อย่างเหมาะสม
สรุปคือทุกอย่างล้วนเป็นธรรมะทั้งนั้นละ และทุกอย่างก็เป็นหนึ่งเดียวกันมิใช่ว่าธรรมของฉันถูกเท่านั้นของคนอื่นผิดหมด
ทุกคนต้องมาฟัง “พุทธวจนะ” จากฉันเท่านั้น จากคนอื่นผิดหมด เช่นนี้ ไม่มีความเป็นกลางนะฮะ
ธรรมะมีสภาพเป็นกลางเพราะมีความเป็นสัมมา แต่เมื่อใดที่เรายึดถือธรรมะของเราว่าถูกต้องอย่างเดียว
คนอื่นผิดหมด เมื่อนั้นก็เอนเอียง ไม่เป็นกลาง ไม่ใช่ทางสัมมาแล้วครับ ผลคือ
เราก็จะขัดแย้งกับคนอื่นไปทั่ว ทะเลาะถกเถียงกับใครเขาไปทั่ว เอาชนะคะคานเขาไปทั่ว
หาความสงบมิได้เลย
ทั้งหมดห้าข้อนี้ เป็นตัวอย่างลักษณะของธรรมะอันแท้จริงครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น