ธรรมะลวงโลกที่มักพบบ่อยๆ
หลายท่านที่สนใจปฏิบัติธรรมแต่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าธรรมะไหนจริง
ธรรมะไหนเท็จ เพราะอาจยังไม่สำเร็จธรรมหรือเพราะเหตุใดก็ตาม สุดท้าย มักจะถูกหลอกด้วยพวกลวงโลกเป็นจำนวนมาก
ในบทความนี้ จะขอยกตัวอย่างว่าธรรมะลวงโลกมีแบบไหนบ้าง?
ในท่านทั้งหลายได้ลองสังเกตุดูกันสักห้าข้อ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ธรรมะเปลือกๆ ประโลมโลก
พวกนี้คือพวก “ศีลลัพพรตปรามาส” คือ ลูบคลำธรรมะแต่เปลือก
ไม่ได้แก่นแท้อะไร อาศัยว่าคนโง่เหมือนควาย ฟังแล้วก็เคลิ้มกันไปเอง เช่น พูดว่าทำความดีนะ
อย่าไปทำความชั่ว เราต้องรักกัน กตัญญูต่อพ่อแม่ ทำเพื่อโลกนะ อย่าเห็นแก่ตัวนะ
บลาๆๆ คือ ไอ้แบบนี้ ใครก็พูดได้เชื่อไหม? เพราะมันเป็นแค่เปลือกๆ
ที่ใครก็พล่ามพูดได้เหมือนๆ กัน แต่ไม่ใช่แก่นแท้อะไรหรอก เหมือนนักพูดมืออาชีพ
เข้ามาอ่านบทจนเข้าใจดีแล้ว ก็เอาไปพูดต่อ หากินได้แล้ว แถมคนส่วนใหญ่ชอบเสียอีก
เพราะอะไร? เพราะคนส่วนใหญ่ไร้ความเพียรในธรรม ขี้เกียจพิจารณาธรรมให้ถึงแก่น สุดท้าย พวกขี้เกียจ ขาดความเพียรในธรรม
ก็ต้องไปเพียรต่อทางโลก
๒ ธรรมะแบบมีแต่ “ท่าไม้ตาย”
เช่น เอะอะอะไรก็ “ไม่” ไม่อะไรทั้งนั้น อะไรก็ไม่ทั้งนั้น บ้างก็
“ว่าง” อะไรก็ว่างหมด ว่างอย่างเดียว บางครั้ง พูดจนดูเหมือนปรัชญาสูงส่งนะ
แต่จริงๆ แล้วมันคือ “ธรรมอัตตา” ไม่มี “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” คือ ไปยึดแต่ธรรมะอันนี้ตัวเดียว
ราวกับธรรมะนี้เป็นพระเจ้า บันดาลให้ได้ทุกอย่าง กลายเป็นท่าไม้ตายท่าเดียว
ใช้หากินได้ตลอด อย่างอื่นไม่รู้เรื่องห่าอะไรกับเขาเลย
พูดคุยกับใครเขาไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นปกติแล้ว บางคนก็เอาธรรมะที่สูงที่สุด
ล้ำที่สุด งัดมาเล่นกัน อวดโชว์กัน เหมือนเป็นท่าไม้ตายอย่างนั้นละ
แถมใช้แล้วได้ผลด้วยสิ เพราะอะไร? เพราะคนเราติดชินกับการคว้าจับอะไรสักอย่าง
พอได้ท่าไม้ตายสักอย่างแล้วก็ยึดไม่ปล่อยละ
๓ ธรรมะแบบปรัชญาความรู้
พวกนี้ใช้การเรียนแบบปริยัติ ไปอ่าน ไปฟัง ไปรับรู้มา
การรับรู้ไม่ใช่การตรัสรู้นะครับ ทีนี้ พอไม่ได้ตรัสรู้เองแต่ไปรับรู้ธรรมะมามากๆ
เข้าก็จะหลงยึดเป็น “ตัวกูของกู” คิดว่านี่คือธรรมะของกู ธรรมะกูถูก
ธรรมะคนอื่นผิด นำไปสู่ความขัดแย้ง ถกเถียง ทะเลาะกันมากมาย เหมือนพวกนักปรัชญาที่วันๆ
ไม่ทำห่าอะไร เอาแต่ถกเถียงกันทั้งวัน หาที่สิ้นสุดไม่ได้นั่นละ ทว่า
นี่ก็พอหลอกให้คนลุ่มหลงได้แล้ว เพราะคนที่มีทุกข์ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนั้นมีมากมาย
ทั้งนี้ ธรรมะที่แท้จริงนั้นจะต้องใช้ได้จริง ประยุกต์แก้ปัญหาในชีวิตได้จริง จึงจะพิสูจน์ตัวมันเองได้ว่านี่คือของแท้
ที่ผ่านการใช้งานมาได้จริง ไม่ใช่ปรัชญาสวยหรูชวนฝันแต่ใช้ไม่ได้จริง
๔ ธรรมะมโนฯ คิดเอง เออเอง
เดี๋ยวนี้มีธรรมะอีกแบบคือ “แบบคิดเอง เออเอง” มโนฯ ไปเอง เช่น อยู่ๆ
ก็เอาคำศัพท์ประหลาดๆ อะไรไม่รู้มาใช้ มาทำให้เรางงๆ เบลอๆ พอเราแปลไม่ออก
ไม่เข้าใจ ก็เผลอคิดว่ามันเป็นธรรมะสูงส่ง ถูกต้องแล้วไปซะนี่ เรียกว่าเพราะไม่รู้
เพราะจับผิดไม่ได้ เพราะจับไต๋ไม่ออก เลยเคลิ้มแล้วก็เชื่อเขาไปนั่นแหละ
แถมยังใช้หลอกคนส่วนมากได้ด้วย เพราะอะไร? เพราะมันเหมือนการโฆษณาสินค้าใหม่ๆ ไง
ของเก่า คำศัพท์เก่าๆ มันน่าเบื่อไปละ พอมีคำใหม่ๆ เหมือนสินค้าใหม่ๆ แบรนด์ใหม่ๆ
โผล่มา เฮ้ย มันน่าสนใจอ่ะ มันดูแนวดี มันดูล้ำดี ไม่เหมือนใครดี ไม่มีใครรู้อย่างเราดี
ก็เลยคิดว่ามันถูกต้อง เป็นธรรมะของจริงไปอย่างไร้เหตุผลก็มี
๕ ธรรมะแบบพวกมากลากไป
คือ ธรรมะที่ไม่ได้สนใจสัจธรรมความจริงอะไร
สนใจแต่ว่าถ้ามีพรรคพวกมากก็จะเอาชนะพวกที่น้อยกว่าได้ ทีนี้
ก็ไม่สนใจที่จะบรรลุสัจธรรมอะไรกันละ สนใจแต่จะหาพรรคพวกเยอะๆ เอาโยมมาเข้าวัดมากๆ
แล้วใช้คนเป็นโล่ห์กำบังตัว เวลาทำผิดอะไรก็ใช้พวกมากลากไป กลายเป็นว่าไม่ผิดเสียอย่างนั้น
แบบนี้มีเยอะมากในปัจจุบัน หลายๆ วัดดังชอบทำแบบนี้ สร้างพรรคพวก ซ่องโจร
ชุมนุมเอาคนไว้ เฮ้ย แม่งจะก่อการกบฎกันหรืออย่างไร? เลยซ่องสุมผู้คนไว้มากมายอย่างนั้น?
เป็นสมัยอดีต โดนประหารไปละ ข้อหาก่อกบฎ แต่สมัยนี้ มันไม่หนักขนาดนั้น
ก็เลยยังอยู่ได้ คนก็แห่ไปตามๆ กัน เพราะอะไร? เพราะคนโง่เยอะกว่าคนฉลาดไง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น