ศิลปะการดำรงอยู่ในโลกยุคต่างๆ
ในบทความก่อนได้กล่าวแล้วว่าโลกมียุคสมัยต่างๆ แบ่งได้ห้ายุค
ในบทความฉบับนี้จะมาต่อครับว่าแล้วเราจะปรับตัวเข้ากับยุคสมัยที่แตกต่างกันของโลกอย่างไรได้บ้าง?
ใครเด่นและดับในยุคสมัยที่แตกต่างกันนั้น? เหมือนชีวิตของเราที่มีจังหวะขึ้นลง และเราควรจะปรับจังหวะชีวิตของเราให้เข้ากับโลก
ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ยุคบุกเบิกก่อร่างสร้างใหม่
เราควรสร้างสายสัมพันธ์ ทั้งให้การสนับสนุน
“เหล่าผู้บุกเบิก” เช่น ผู้ตั้งพรรคใหม่, ตั้งมูลนิธิใหม่, ตั้งองค์กรใหม่ แต่เรายังไม่ควรลงไปทำเอง เพราะเราจะเหนื่อยและต้องใช้แรงมาก
เมื่อคนกลุ่มแรก คือ ผู้บุกเบิกหมดกำลังลงไปแล้ว เราค่อยรับไม้ต่อ
วิ่งผลัดทำหน้าที่ในยุคต่อไปก็ได้ แต่การที่เราจะเข้าไปสู่ระบบใหม่ที่เหล่าผู้บุกเบิกสร้างไว้ได้
เราต้องมี “สายสัมพันธ์” ที่ดี จริงไหมครับ? และการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีที่สุด
คือ การให้การสนับสนุนพวกเหล่าผู้บุกเบิกในยุคแรกๆ นี่เอง เช่น พ่อของบูเช็คเทียน
สนับสนุนเงินทุนให้ตระกูลหลี่ จนก่อตั้งราชวงศ์ถังได้ ต่อมา ลูกสาวคือ
บูเช็คเทียนก็ได้เข้าไปเป็นพระสนม เพราะสายสัมพันธ์นี้ นั่นเองครับ
๒ ยุคเติบโต, เจริญก้าวหน้า
เราควรเข้าสู่ระบบ, องค์กร ฯลฯ ในยุคนี้ครับ เพราะเป็นยุคที่ทำอะไรก็ดีไปหมด
กำลังเติบโต กำลังก้าวหน้า แต่การแข่งขันก็ยังสูง และดอกผลก็ยังไม่ออกมาก มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องการใช้คนอย่างยิ่งครับ
การเข้าสู่ระบบในช่วงนี้ไม่แย่อะไร เพราะภาพรวมกำลังไปได้ดี
อยู่ในยุคที่กำลังเติบโตดี เมื่อเราเข้ามาสู่ระบบในยุคนี้ เราก็จะเติบโตพร้อมไปกับระบบนั้นๆ
ด้วย การซื้อกิจการที่ไปไม่รอดของคนยุคก่อนๆ ที่หมดแรงบุกเบิกแล้ว มาทำใหม่
นับว่าเป็นอีกวิธีที่ได้ผลดี เพราะเมื่อคนรุ่นบุกเบิกทำงานจนหมดแรงแล้วไปต่อไม่ไหวแล้ว
แต่เขาก็ได้สร้างกิจการที่มีรากฐานมั่นคงไว้ครับ หากเราต่อยอดเขาในช่วงนี้
เราที่มีแรงดีอยู่ก็สามารถไปต่อได้ครับ
๓ ยุคเจริญเติบโตถึงจุดสูงสุด
เราควรเข้าสู่ระบบในยุคนี้ เพราะเป็นยุคที่ดีมาก
ดอกผลออกมาดีแล้ว คนไม่ได้เรื่อง ไร้ความสามารถเข้ามาก็สามารถทำเงินได้
ได้ดอกผลได้ ยุคนี้มักพบว่ามี “ลูกท่านหลานเธอ” เข้ามาเยอะครับ คนพวกนี้ไม่เก่งอะไร
แต่เพราะอาศัยสายสัมพันธ์ที่ดี ก็เข้ามาสู่ระบบ, องค์กรต่างๆ ได้
เมื่อนั้นการเจริญเติบโตก็จะหยุดลง เพราะคนเหล่านี้ไม่มีพลัง
ไม่มีความสามารถที่จะพัฒนาระบบหรือองค์กรให้เติบโตไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดีทุกอย่าง พวกเขาเลยเข้ามาเสวยผลบุญเท่านั้นเอง ทว่า
เราจะต้องมีสติ ไม่หลงโลก ไม่หลงในระบบหรือองค์กรด้วย เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง
ถัดจากยุคนี้ก็จะเสื่อมถอยแล้ว เราจะต้องพร้อมเอาตัวออกไป
๔ ยุคเข้าสู่ภาวะถดถอยลง
เราควรเอาตัวออกมาจากวังวนและระบบต่างๆ เพราะระบบเริ่มไม่ดีแล้ว
เริ่มเสื่อมแล้ว มันจะเริ่มกลืนกินคนเข้าไปในระบบ เสมือนไฟกินฟืนครับ
คนก็เหมือนถูกเผาไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่านเพื่อให้ระบบยังดำรงคงอยู่ได้เท่านั้นเอง
เรียกว่า เอาตัวถอยห่างออกมาดีกว่า อยู่แบบสมถะหรือแบบธรรมดาๆ ให้ได้ ก็จะปลอดภัยฮะ
บางระบบ บางองค์กร ถึงกับเอาคนไปบูชายัญกันเลยนะจะบอกให้
แต่สมัยนี้การบูชายัญเป็นอะไรที่เนียนๆ ดูไม่ออกเลย
เหยื่อไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกบูชายัญอยู่ เช่น การเอาตัวเข้าไปในสื่อ แล้วกลายเป็นได้แค่วัตถุทางเพศ
ให้คนอื่นเข้ามาเสพกามจากการดูโชว์เรือนร่างของคนๆ นั้น
เพื่อให้ระบบนั้นยังดำรงคงอยู่ได้ไงละครับ
๕ ยุคเสื่อมจนถึงขีดสุด
เราควร “เก็บตัว” เรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองอยู่เงียบๆ หลังจากถอยห่างเอาตัวออกมาจากระบบแล้ว
เพราะในช่วงเวลานี้ เราจะพัฒนาตัวเองให้เติบโตและก้าวไปสู่ขั้นสูงๆ ได้
รอเวลาที่เหมาะสมก็จะกลายเป็นมังกรเหินสู่เวหา จนสะเทือนสวรรค์เชียวละครับ
การเก็บตัวในยุคที่โลกวุ่นวาย เสื่อมถอย และมนุษย์ไม่อาจจะทำอะไรได้แล้ว นับว่าสอดคล้องเหมาะสมกับยุคสมัยของโลกครับ
หลายคนเอาตัวเข้าไปเสี่ยงและเสียตัวให้กับระบบ องค์กรต่างๆ
เพื่อรักษาระบบหรือองค์กรเหล่านั้นไว้ เฉกเช่น
ยุคสงครามที่ผู้คนเข้าสู่สนามรบแล้วตายลงเป็นเบือ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปโลกก็ยังต้องการคนเข้ามาสร้างสรรค์โลกใหม่ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ จริงมั้ยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น