โลกมียุคสมัยของมัน?
ในบทความก่อนได้กล่าวแล้วว่ากลไกของโลกนั้นมีลักษณะอย่างไร?
และเราจะมีวิธีขับเคลื่อนกลไกของโลกให้ดำเนินไปได้อย่างไร? ในบทความนี้จะกล่าวถึง
โลกที่ถูกขับเคลื่อนในแบบต่างกันในแต่ละช่วงเวลาทำให้มียุคสมัยที่แตกต่างกัน
โลกมีช่วงขึ้นลงเป็นวัฏจักร เพราะไม่เที่ยง อนิจจัง
ไม่อาจยึดมั่นได้ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ยุคบุกเบิกก่อร่างสร้างใหม่
คือ
ยุคที่โลกกำลังเริ่มก่อเกิดสิ่งใหม่ๆ ยุคนี้จะมีการ “วางรากฐาน” ของสิ่งใหม่ๆ จึงยังไม่เห็นดอกผลเท่าใดนัก
ผู้ที่ทำงานหลักๆ ในยุคนี้จะต้องพบกับอุปสรรคมากมาย และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ
เพราะทำแล้วยังไม่เกิดผลนั่นเอง ทว่า หากไม่มีการวางรากฐานของสิ่งใหม่ๆ ลงไปในยุคนี้
ก็จะไม่มียุคสมัยใหม่เกิดขึ้นได้เลย
แต่เพราะการสร้างสรรค์โลกให้เจริญก้าวหน้านั้น ต้องใช้เวลานาน
ในยุคบุกเบิกนั้นยังไม่ใช่วาระของการมีดอกผลออกมาให้ชื่นชมกัน
ผู้คนก็อาจไม่เชื่อถือ, ด่าว่า หรืออาจต่อต้านมากมาย ทว่า การวางรากฐานนั้น เป็นงานที่ยากมากๆ
เพราะต้องมองการณ์ไกลไปสู่อนาคตให้ออก จึงวางรากฐานให้ถูกต้องเพื่ออนาคตได้
๒ ยุคเติบโต,
เจริญก้าวหน้า
คือ
ยุคที่โลกกำลังเข้าสู่ความเจริญรุ่งเรืองเหมือนต้นไม้ที่เติบโต มีกิ่งก้านใบ
แผ่สาขาเขียวขจีให้เห็นเด่นชัด ทว่า ก็ยังไม่มีดอกผลออกมาชัดเจนในยุคนี้
เราจะเห็นเพียงแค่ “การแพร่ขยาย” ของบางอย่าง การเติบโตที่เด่นชัดของบางสิ่ง ทว่า
ทุกคนในยุคนี้ก็ยังต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อขับเคลื่อนโลก สร้างสรรค์โลกให้เจริญ
ก้าวหน้าไป สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ “การแข่งขันที่สูง”
ผู้คนหลากหลายกลุ่มเข้ามาสู่เวทีเดียวกัน เกิดการแย่งชิงกัน
ในขณะที่ยุคก่อนหน้าที่การแข่งขันมีน้อย เรียกว่าผูกขาดเลยก็ว่าได้ ยุคนี้
สิ่งเก่าๆ จากยุคก่อนๆ แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว ไม่หลงเหลืออีกแล้ว เพราะมีสิ่งใหม่ๆ
จากยุคใหม่เข้ามาแทนที่อย่างเต็มที่แล้ว นั่นเองครับ
๓ ยุคเจริญเติบโตถึงจุดสูงสุด
คือ
ยุคที่โลกเจริญเติบโตจนเกิดดอกออกผล เบ่งบานไปทั่ว ผู้คนทั้งหลายไม่เหนื่อยยาก
ไม่ต้องลำบากเช่น คนยุคก่อนๆ ทุกๆ อย่างมั่นคง, ลงตัว และเจริญถึงขีดสุด ผู้ที่เข้ามาสู่ยุคนี้หรือมีบทบาทสำคัญมักเป็นคนมีบุญ
แต่ไม่ได้สร้างบารมีอะไร ไม่เก่งอะไรก็อยู่ได้สบายๆ เคยเห็นไหมครับ
คนที่ไม่ได้เก่งอะไร ทำงานไม่เป็น แต่ได้เงินเดือนสูงๆ อยู่ในองค์กรใหญ่ๆ
เดินเฉิดฉายไปวันๆ คนพวกนี้จะเยอะมาก ในยุคนี้ครับ เพราะมันคือ
ยุคที่ทุกอย่างเจริญหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้คนดีมีความสามารถเหมือนสองยุคที่ผ่านมาก็ได้
พวกลูกท่านหลานเธอ ที่ไม่ได้เรื่องราวอะไร
จะเข้ามามีบทบาทแต่ไม่มีผลงานก็อยู่ได้ครับ เรียกว่ายุคของผู้มีบุญโดยแท้
๔ ยุคเข้าสู่ภาวะถดถอยลง
คือ
ยุคที่โลกเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังจากหมดยุคเจริญถึงที่สุดมาแล้ว ยุคนี้อะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น
สิ่งไม่ดีทั้งหลายเริ่มปรากฏให้เห็น ทว่า ยังถือว่าประคองตัวเองได้อยู่
ยังไม่จบสิ้นลงไปเสียทุกอย่าง แต่ทำอะไรก็เริ่มไม่ค่อยดีละ แก้ไขปัญหาอะไรก็ไม่ได้ละ
ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ต้องทำใจอย่างเดียว และประคองตัวเองไว้ให้รอดเท่านั้น เนื่องจาก
การล้มหายตายจากเริ่มมีมาก คนไม่ดีเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขได้ ทำได้เพียงประคองตัวเองให้ยังคงอยู่ได้
ลูกท่านหลานเธอที่มีบุญทั้งหลายก็ค่อยๆ หายหน้าไป คนไม่ดีทั้งหลายที่ได้ช่อง
เข้ามามีบทบาทตามแนวทางของพวกลูกท่านหลานเธอก็เข้ามาแทนที่กันมากมาย
๕ ยุคเสื่อมจนถึงขีดสุด
คือ ยุคที่โลกย่ำแย่จนถึงที่สุดแล้วครับ
ยุคนี้คนดีอยู่ไม่ได้ คนอยู่ได้กลายเป็นคนไม่ดีมากมาย คนทำผิดกลับได้ดี
คนทำดีกลับถูกกลั่นแกล้งเล่นงาน ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ไม่เจริญ
โลกไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน แต่มีวาระที่จะเจริญและเสื่อมถอยของมันเอง ชีวิตก็มีจังหวะของมัน
เราจะต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับโลก กล่าวคือ เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงเจริญ
ชีวิตของเราเจริญด้วยไหม? หากไม่ ก็แปลว่าเราก้าวไม่ทันโลก เราขาดสติในปัจจุบัน
ถ้าเราเอาแต่หมกตัวอยู่ในป่าทำตัวเหมือนพระอรหันต์ ก็เรียกว่าแปลกแยกตัวเองออกจากโลกแล้ว
บางครั้ง เราต้องมีบทบาทในโลกบ้างครับ เราต้องรู้จังหวะเข้าออก
รู้จังหวะที่จะเล่นบทบาทที่เกี่ยวข้องกับโลกครับ
โลกห้ายุคสมัยนี้ จะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่เสมอๆ ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น