คนหลงโลกห้าแบบ?
หลายคนที่ยังไม่ถึงวาระที่จะหลุดพ้นย่อมจะหลงโลก หลงทางเป็นธรรมดา แม้จะพยายามปฏิบัติธรรมแต่ก็ไม่สำเร็จมรรคผล
อันนี้ไม่ผิดอะไรนะครับ และไม่ใช่ความถูกต้องอะไรด้วย ในบทความนี้
จะขอยกตัวอย่างให้อ่านกันเป็นเบื้องต้นห้าแบบ ที่มักพบเจอบ่อยๆ
ในชีวิตจริงและสามารถสังเกตุเห็นได้ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ หลงกระแสโลก
กลุ่มนี้ดูได้ง่ายที่สุด ทว่า
เดี๋ยวนี้กระแสโลกนั้นมิได้มีแค่ทางโลกอย่างเดียว
ในทางธรรมก็มีกระแสโลกไหลบ่าเข้าไปด้วย อย่างไรหรือ? ก็คือ คนที่บวชพระก็ดี, ปฏิบัติธรรมห่มขาวก็ดี
ฯลฯ จะหลงทางไปสู่ทางโลกได้เช่นกันเช่น ถูกยกย่องให้สูง เป็นนั่นเป็นนี่,
ได้รับตำแหน่งเงินทอง, มีบริวารบ่าวไพร่ห้อมล้อม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหลอกล่อทางโลกทั้งสิ้น
มิใช่ทางธรรม มิใช่ทางหลุดพ้น แต่หลายคนก็หลงเข้าไปติดอยู่ ทำให้มองผิวเผินแล้วเหมือนว่าพวกเขาจะสำเร็จธรรมขั้นสูงแล้ว
ได้รับการยอมรับจากคนมากมายแล้ว ทว่า พวกนี้ก็ยังไม่ถึงวาระหลุดพ้น เมื่อยังไม่ใช่วาระของพวกเขา จึงต้องมีการหลอกให้แนบเนียนเหมือนว่าใช่ครับ
๒ หลงว่าตนมีกรรมมาก
กลุ่มนี้พบมากในชาวไทยพุทธ พวกเขาจะตอกย้ำความเชื่อตัวเองอยู่ซ้ำๆ
ว่าตัวเองเป็นคนมีกรรม
ไม่มีบุญเลย และทำให้จิตใจเสื่อมต่ำลงสู่ภพเปรตหรือภพที่ต่ำๆ ก็มี
ดูผิวเผินแล้วเหมือนว่าเขาจะตั้งต้นถูกนะ คือ ตั้งต้นที่การละสักกายทิฏฐิ
ทำให้ไม่หลงตัวเอง เอากรรมมาเฆี่ยนตัวเองให้ตื่นแจ้งจากโลก แต่ก็ยังไม่หลุดพ้นจริงๆ
ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นคนยากจน, เกษตรกร ฯลฯ เป็นต้น ความคิดแบบนี้นับเป็นความสุดโต่งอีกแบบ
คือ สุดโต่งไปทางกรรม เมื่อถูกกรรมเล่นงานแทนที่จะมีความเพียรจนก้าวหน้าในธรรม
ก็ไม่ใช่ กลาย เป็นความท้อถอย น้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อความเพียรหย่อน จึงต้องทำงานหนัก เพื่อฟื้นคืนวิริยะอินทรีย์ครับ
๓ หลงใช้สมองแทนใจ
เป็นความหลงอีกแบบที่ผู้หลงไม่มีทางเข้าใจและแก้ไขได้เลยเพราะอะไร?
เพราะชินในการใช้สมอง ใช้ความฉลาด จนไม่รู้ว่าถ้าไม่ใช้สมองและความฉลาด
จะรู้ได้อย่างไร? พอเข้าใจไหมครับ? เหมือนเส้นผมบังภูเขา เมื่อใช้สมองใช้ความฉลาดจนได้ผลออกมาเหมือนผู้สำเร็จธรรมแล้ว
ก็จะคิดว่านี่คือทางที่ใช่ละ เพราะเรารู้ไม่ต่างจากผู้สำเร็จธรรมเลย ทว่า
แท้แล้วไม่ใช่เลยครับ เพราะจิตยังไม่ไปไหน จิตใจเหมือนเดิม
มีแต่สมองที่พัฒนาอย่างเดียว เหมือน “เงาจันทร์ในน้ำ” น่ะละ มันเหมือนสำเร็จธรรมมาก
เพราะรู้อะไรไม่ต่างจากคนที่สำเร็จธรรมเลย แต่มันเป็นการรับรู้ของสมองไม่ใช่จิตใจ
มันคือความฉลาดไม่ใช่ปัญญาญาณ ยังไงละครับ
๔ หลงใช้พลังแฝง
พวกนี้คือพวกปฏิบัติจิตจริงๆ แต่ยังไม่สำเร็จ พลาดท่า
ถูกพลังแฝงครอบงำ ทำให้ยังไม่หลุดพ้นจากพลังนี้ พลังแฝงจะหลอกให้คิดว่าสำเร็จธรรมแล้วด้วยการให้พลังปัญญาเรา
ทำให้เราสว่างไสวมีปัญญาก็ได้ ทว่า นี่ไม่ใช่ปัญญาญาณจริงๆ นะ มันเป็นญาณแฝง
พลังงานแฝง ญาณหยั่งรู้ของเราจริงๆ มันก็อย่างหนึ่งนะ ส่วนการรู้จากพลังแฝง ญาณแฝง มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ทีนี้ ถ้าคนที่ยังไม่ผ่านด่านนี้
จะแยกแยะไม่ได้เลยว่าญาณไหนญาณจริง ญาณไหนญาณแฝง? พอเราแยกแยะไม่ได้
พลังงานแฝงเข้ามาแทนที่ให้เราใช้อยู่เรื่อย เราก็จะชินกับการใช้พลังแฝง
จนลืมใช้ญาณตัวเอง ปัญญาญาณของเราก็จะไม่พัฒนาไปไหนได้เลยครับ
๕ หลงว่าตนเก่ง-ฉลาด
พวกนี้จะอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริง กับสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง
ชอบใช้ความสามารถของตัวเอง ไม่ชอบพลังแฝง เมื่อทำงานอยู่ในทางโลก ประสบความสำเร็จก็เลยคิดว่าตนมีปัญญาจริง
นี่ละ สติปัญญาในทางธรรม ทว่า อาจยังไม่ใช่ครับ ดูผิวเผินแล้วเหมือนใช่มาก เพราะประยุกต์ใช้ได้จริงในปัจจุบัน
แต่มันมีเบื้องหลังอยู่ครับ เช่น
เมื่อเราจะใช้ความสามารถของเราแต่ความสามารถเราไม่ถึง ซาตานก็เข้ามาช่วยบันดาลให้เราได้
เราก็คิดว่าเราเก่ง เราฉลาด ซาตานก็หลอกให้เรารู้อะไรมากมาย เหมือนนักธุรกิจ
ผู้บริหาร ฯลฯ ที่เก่งๆ กันทุกวันนี้แหละ แต่นี่ไม่ใช่ความสามารถเราจริงๆ มันคือ
พลังของซาตานที่มาช่วยทำให้เราได้ดังที่ต้องการ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น