ธรรมปัจจุบันควรเป็นอย่างไร?
คนที่ปฏิบัติจริงและผ่านการทดสอบมาจริงนั้นอาจพูดธรรมะไม่เก่งเลย
แต่คนที่เป็นนักเรียน คือ เก่งในการเรียนอาจพูดธรรมะเก่งกว่าก็ได้ หลายคนจึงมักอวดโชว์ธรรมะสูงส่งสวยหรู แต่ใช้ไม่ได้จริง
แล้วธรรมจริงละเป็นยังไง ใช้ได้จริงไหม? ในที่นี้ขอเสนอธรรมแท้ที่ใช้ได้จริง
ขอเรียกว่า “ธรรมปัจจุบัน” ดังจะอธิบายต่อไปนี้
๑ ไม่จำเป็นต้องสูงส่งที่สุดหรือเหนือใคร
บางคนจะชอบโชว์เหนือคือ
ทำเหมือนว่าเรามีธรรมสูงเหนือคนทุกคนแบบชนิดว่าอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น
เราอยู่เหนือทุกสิ่ง อันนี้ไม่ใช่ธรรมปัจจุบันนะครับ เรามองว่าเป็นการขาดสติเพราะหลงความสูงส่งเกินไป เช่น
ถ้ามีมะม่วงสูงสามเมตร เราต้องใช้ตระกร้อสูงสิบเมตรสอยหรือเปล่า?
ถ้าเรามีสติกับเหตุปัจจัยในปัจจุบัน เราก็จะมีสติว่าเออ มันไม่จำเป็นต้องสูงเว่อร์เกินพอดีขนาดนั้น
อะไรที่เหมาะสมกับปัจจุบัน ตอบโจทย์ปัจจุบันได้ละ เช่น ถ้าคนกำลังจะฆ่ากันได้
แต่นาย ก. มีธรรมหลอกล่อให้เขาเลิกฆ่ากันได้ โอเค มันใช้ได้จริงปัจจุบัน แต่ถ้านาย
ข. บอกว่าฉันไม่ยึดอะไรแล้วเหนือการฆ่าและไม่ฆ่า จากนั้นคนก็ฆ่ากันตายไป
มันใช้ได้จริงไหม?
๒ ให้สติกับบริบทปัจจุบันได้จริงๆ
ไม่ใช่ธรรมะที่พาเราหลงเพลินไปกับอะไรที่ไม่ใช่ปัจจุบันหรือเป็นไปไม่ได้จริงในปัจจุบัน
สวยงาม เลิศหรูเกินพอดีบ้าง สูงส่งเว่อร์เกินพอดีบ้าง
เรียกว่าเอาความสูงส่งข่มคนอื่นเขาแต่ใช้จริงในปัจจุบันไม่ได้ แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?
ได้แค่มาอวดโชว์เหนือคนอื่นเขาเท่านั้นละ แต่ไม่ได้ช่วยเตือนสติ
ให้สติอะไรใครได้เลย ทว่า ธรรมปัจจุบันนั้นจะเตือนสติให้คนเราอยู่กับปัจจุบันได้ว่า
ณ ปัจจุบันนี้อะไรควร อะไรไม่ควรทำ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นปรัชญา ทฤษฎีสวยหรู
แต่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยในปัจจุบัน ไม่ได้ให้สติ เตือนสติอะไรใครเลย ก็ไม่เหมาะใช่ไหม?
ดังนั้น หากเรารู้จักคน, รู้จักกาล, รู้จักประมาณ ฯลฯ
เราจะรู้ว่าควรใช้ธรรมะอะไรในปัจจุบัน
๓ ประยุกต์แก้ปัญหาชีวิตปัจจุบันได้จริง
อย่าไปรอชาติหน้าหรือพิสูจน์กันชาติหน้า แล้วชาตินี้ละ กลายเป็นว่าพิสูจน์ไม่ได้
ใช้ไม่ได้จริง ไม่ใช่แล้วนะ ธรรมปัจจุบันนั้นจะต้องใช้ได้จริงในปัจจุบันนี้เลย
เหมือนท่านอิคคิวซังใช้ปัญญาแก้ปัญหาต่างๆ ได้จริง นี่ละ ธรรมปัจจุบัน
หากใครบอกว่าธรรมะต้องรอพิสูจน์ชาติหน้าแสดงว่าเขาหลอกเรา
บางอย่างให้ผลชาติหน้าจริง แต่ธรรมะต้องพิสูจน์ได้จริงแบบไม่จำกัดกาล (อกาลิโก) นั่นคือ ปัจจุบันนี้ก็ต้องทำได้จริง
พิสูจน์ได้จริง ส่วนไหนที่ออกดอกผลชาติหน้าก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องมีส่วนที่เป็นอดีต
ส่วนที่เป็นปัจจุบันด้วย ไม่ใช่อะไรก็รอชาติหน้า เพราะหากเป็นสัจธรรมจริงก็ต้องจริงไม่จำกัดกาล
ไม่ว่าจะเป็นอดีต, ปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม
๔ ธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงได้ไม่ตายตัว
ดังคำกล่าวที่ว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติฯ” ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาคือ
ถ้าเราไปยึดติดธรรมะตัวใดตัวหนึ่งเข้าเช่น สุญตาก็ดี, ความว่างเปล่าก็ดี, ความไม่อะไรกะอะไรก็ดี ฯลฯ
แบบนั้นมันจะกลายเป็น “ธรรมอัตตา” มันไม่ใช่สัพเพ ธัมมา อนัตตาแล้วนะ หลายคนชอบทำเหมือนข้อสอบปรนัย
คือ “ค้นหาคำตอบที่ถูกที่สุด” นี่มันชีวิตจริง มิใช่ห้องสอบ หนูอย่าหลอนขนาดนั้น
หนูต้องมีสติ นี่ชีวิตจริงนะคะไม่ใช่อยู่ในห้องสอบแบบนั้น มันไม่มีหรอก
“ข้อที่ถูกที่สุด” น่ะ มันมีแต่ในห้องสอบ ส่วนชีวิตจริงของเรามัน “สัพเพ ธัมมา
อนัตตาติฯ” เราไม่อาจยึดมั่นถือมั่นธรรมะตัวใดตัวหนึ่งได้เลย เรียกว่าเลือกใช้ให้เหมาะกับคน, กับกาล,
พอประมาณ ฯลฯ
๕ มีความสดใส สดใหม่ มีชีวิตไม่หมักดอง
“ธรรมะหมักดองคืออะไร?” คือ ธรรมะตายตัวที่ใครบางคนกล่าวไว้นานแล้ว
หมักดองไว้ แล้วเราเอะอะอะไรก็ไปเอามาใช้ จริงอยู่ว่าสัจธรรมนั้นไม่จำกัดกาล
กล่าวเมื่อไรก็ใช้ได้ ไม่มีเน่าเสีย แต่ก็มี “ชุดคำตอบ” ที่ไม่ใช่สัจธรรมอยู่นะ
ชุดคำตอบพวกนี้คือ “กระบวนท่าตายตัว” ไม่ใช่ไร้ลักษณ์ เช่น
ท่าไม้ตายในการเถียงเอาชนะคนอื่นด้วยคำว่า อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น, ฉันไม่ยึดติดอะไรแล้ว,
ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า, แม้แต่ตัวตนก็ไม่มี ฯลฯ นี่คือ กระบวนท่าไม้ตาย หลักๆ
ที่พบเห็นบ่อยๆ บางคนไม่ได้อยู่กับบริบทปัจจุบันเลย
ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ตนพูดด้วยเขาพูดอะไร เอะอะอะไรกูแม่ง
ยัดใส่มันด้วยท่าไม้ตายก่อนละ ปิดหู ปิดตาไม่ฟังแม่งมันละ ก็มี
ธรรมปัจจุบัน ทำให้มีสติกับปัจจุบัน ย่อมไม่เป็นธรรมหมักดอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น