“พระบุตร” ชำระบาปเราอย่างไร?
ในบทความก่อน ได้อธิบายแล้วว่าคนเราทุกคนมีบาปมีกรรมติดตัวทั้งนั้น
เหมือนหนี้เก่าที่เราต้องชดใช้ครับ ทีนี้ เวลาเราชดใช้หนี้ เจ้ากรรมนายเวรไม่จำเป็นต้องมาเล่นงานเราก็ได้
เทพหรือพระโพธิสัตว์ที่มีหน้าที่นั้นๆ สามารถมากระทำแทนได้ ทำให้รูปแบบการชำระบาปและกรรมของมวลมนุษย์ต่างกันไป
ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ชำระบาปด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วย
การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการชดใช้กรรม ชำระบาปในแบบพื้นฐานที่สุด
เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว เราจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บป่วยนั้นๆ
จนกว่าจะหมดสิ้นกรรม โพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย อ่อนด้อยที่สุด
จะใช้วิธีนี้ในการชำระบาป ดังนั้น พระเยซูจึงรักษาคนป่วย เพราะอะไรครับ?
ก็เพราะมนุษย์เรานั้นไม่ได้ถูกพระเจ้าสร้างมาให้ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงเช่นนี้ เราป่วยเพราะกำลังได้รับการชำระบาป
แต่วิธีการชำระบาปมีหลายวิธี เมื่อพระเยซูมีวิธีที่ดีกว่า จึงใช้วิธีอื่น ถ้าคุณได้เจอผู้มีบุญบารมีคนไหน
แล้วคุณต้องอยู่ในวังวนของการเจ็บไข้ได้ป่วย แสดงว่าเขากำลังชำระบาปให้คุณเท่าที่เขาจะทำได้ครับ
๒ ชำระบาปด้วยการถูกทำร้าย
ผู้หญิงหลายคนมักถูกสามีทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ นั่นคือ วิธีการชำระบาปอย่างหนึ่งนะครับ แต่ด้วยผู้ที่ทำหน้าที่ชำระบาป
ไม่มีบุญบารมีมากพอ การชำระบาปจึงรุนแรงดังกล่าว และเป็นไปอย่างเปิดเผย ขณะที่การชำระบาปแบบวิธีแรก
ไม่เปิดเผยคือ เราไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ชำระบาปให้เรานั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้เราป่วยครับ
ผู้มีบารมีบางคน สามารถเปิดภพนรกได้ เมื่อสัตว์นรกออกมาก็จะหาร่างคนอาศัย
คนไหนถูกสัตว์นรกอาศัยก็จะล้มป่วยลงได้ครับ
ในขณะที่สามีที่ทำร้ายภรรยานั้นไม่ได้ใช้พลังของสัตว์นรก
แต่ใช้พลังอสูรที่อยู่ในตัวทำร้ายภรรยาแทน ระดับการชำระบาปก็สูงขึ้น จึงเบาลง ซึ่งเป็นวิธีตามธรรมชาติที่มีได้ทั่วไปครับ
๓ ชำระบาปด้วยการเสียทรัพย์
เจ้ากรรมนายเวรบางคนมาหลอกลวงเอาทรัพย์ของเราก็มี เช่น หลอกเราว่าเป็นพระโพธิสัตว์
ผู้มีบุญบารมีให้เราเอาเงินไปทำบุญกับเขา นี่คือ การชดใช้กรรมอย่างหนึ่ง เช่นกัน ผู้มีบุญบารมีที่แท้จริงที่ช่วยชำระบาปให้คุณนั้นก็อาจใช้วิธีนี้ก็ได้
คือ ให้คุณบริจาคเงิน เรียกว่าเสียทรัพย์ดีกว่าเจ็บป่วยทรมาน เพราะเจ็บป่วยยังต้องจ่ายเงินค่ารักษาอีกด้วย
ทีนี้ ถามว่าถ้าเจอผู้ชำระบาปที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกับพระโพธิสัตว์จะต่างกันอย่างไร?
คำตอบง่ายๆ เลยครับ ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวร เขาจะเอากับเราหนัก แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ
บางทีแค่ให้เป็นอุบายก็ได้แล้ว เช่น เจ้ากรรมนายเวรเอาจากเราเป็นแสน
แต่พระโพธิสัตว์จะรับน้อยกว่านั้น
๔ ชำระบาปด้วยการถูกด่าว่า
ผู้มีบุญบารมีมากๆ แค่ตำหนิด่าว่าหรือกลั่นแกล้งเรา
ก็ช่วยให้เราชำระบาปได้แล้วครับ เช่น พญามารฯ หากมากลั่นแกล้งใคร คนๆ
นั้นก็โชคดีครับ เช่น ตอนที่พระสมณโคดมกำลังทำทุกขกริยา ซึ่งไม่ใช่ทางหลุดพ้นที่แท้จริง พญามารฯ
ลงมากลั่นแกล้งพระสมณโคดม ทำเป็นต่อว่าเสแสร้งตู่ไปต่างๆ นานา ถ้าพระสมณโคดม
ได้รับการชำระบาปกรรมหมด ก็ไม่ต้องบำเพ็ญทุกขกริยาอีกต่อไป ก็จะปิ๊งได้ว่าอ้อ
นี่ไม่ใช่ทางสายกลางนะ เห็นไหมครับ ผู้เขียนยกตัวอย่างให้คุณเห็นภาพชัดๆ เลย
กรณีการบำเพ็ญทุกขกริยาของพระสมณโคดม ที่ได้รับการช่วยด้วยการกลั่นแกล้ง
เพื่อให้บาปกรรมที่ได้รับหมดเร็วๆ หมดไปกับการถูกกลั่นแกล้งไงละครับ
๕ ชำระบาปด้วยการเป็นผู้รับใช้
การชำระบาปแบบนี้เป็นแนวทางที่พระเยซูให้แก่พวกเราไว้นั่นเอง
ท่านให้เราทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ แม้แต่ในศาสนาอิสลามก็บอกไว้ ท่านให้เรา “เป็นบ่าวของพระเจ้า”
เพราะการเป็นบ่าวของพระเจ้าย่อมดีกว่าเป็นข้าของมนุษย์คนไหน จริงไหม?
เราจะอยู่อย่างมีอิสระ พระเจ้าไม่ว่างพอมาบงการชีวิตมนุษย์เป็นพันล้านคนหรอกครับ
ฮ่าๆๆ แต่ท่านมีวิธีการดูแลเราก็แล้วกัน เอาละ ในทางพุทธบ้าง
วิธีแห่งผู้รับใช้เรียกว่าวิถีกวนอิมครับ กล่าวคือ พระกวนอิมจะรับใช้พระยูไล
หรือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ นี่คือ การชำระบาปที่ดีที่สุดครับ
เพราะเราไม่ต้องทรมานจากการเจ็บป่วยใดๆ ดังนั้น การมี “จิตอาสา” ที่รับใช้ประชาชน
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ
การได้รับการชำระบาปจากพระบุตร ย่อมดีกว่าทุกประการดังนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น