ชีวิตบนมายาการแห่งโลก
โลกเต็มไปด้วยมายาการแห่งบุญกรรม
คนที่ไม่ได้เรื่องอาจได้ดีเพราะมีบุญเก่า
คนที่มีความสามารถอาจไม่มีโอกาสอะไรเลยเพราะกรรมมีอยู่ก็ได้ ดังนั้น
การดำรงชีวิตในโลกหากไม่เข้าใจมายาการแห่งโลกแล้ว เราก็จะหลงตัวเองได้ครับ บทความฉบับนี้ขอแนะนำเคล็ดลับการดำรงชีวิตบนโลกแห่งมายาการ
ดังต่อไปนี้ครับ
๑ พอใจในบุญที่ตนมี
คนเราทุกคนมีบุญบารมีของตน แต่ถ้าเรามัวแต่มองและเปรียบเทียบกับคนอื่น
เราก็จะไม่มีความสุข ด้วยสิ่งเหล่านั้นมิใช่ผลแห่งบุญบารมีของเราที่ควรได้รับ
เราจะต้องหัด “พอใจในบุญบารมีของตน” เช่น บางคนไม่มีบ้านอยู่
เขาอาจมีบารมีเก่าสร้างมาแบบพระธุดงค์ที่ไม่ต้องอยู่ประจำที่ก็ได้
ถ้าเขาพอใจในสิ่งที่เขามี ก็จะเข้าใจปริศนาธรรมนี้ และค้นหาทางของตนเองได้ครับ
แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจ เป็นไงครับ? เขาก็จะทุกข์ใจว่าฉันคือคนอนาถา เร่ร่อน ไม่มีบ้านอยู่
ต้องทุกข์ระทมตรมใจ ร้องไห้ และร้องขอให้คนมาช่วยเหลือตนเองไงครับ เราต้องเข้าใจมายาการแห่งโลกว่าสิ่งที่เรามี
ที่ได้รับนั้น มันใช่ที่สุดแล้ว อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับใคร
๒ มีความสุขในสิ่งที่ตนได้
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่มีราคาค่างวดอะไร เช่น ไปดายหญ้า
เราก็มีความสุขได้ครับ บางคนชอบคิดว่าทำไมฉันต้องมาดายหญ้าเหนื่อยยากอย่างนี้?
แต่เขาไม่เคยมองในมุมว่า ที่จริงแล้วเขาดายหญ้าแล้วได้ออกกำลังกาย ได้เหงื่อ
และสุขภาพร่างกายดีแค่ไหน? เห็นไหมครับ มองมุมต่างกัน ชีวิตเปลี่ยนเลย
เราจะต้องไม่เอาความสุขของเราไปฝากหรือผูกไว้กับสิ่งอื่นๆ ความสุขของเรา
จะต้องอยู่กับสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เมื่อนั้น เราจะมีความสุข เพราะสิ่งที่เราเป็นนั้น
เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อหาหรือไขว่คว้ามาครองก็ได้ ดังนั้น
เราจะมีความสุขได้ง่าย แบบเรียบๆ ง่ายๆ แม้ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่กลับเปี่ยมด้วยพลังแห่งความสุขแท้ครับ
๓ นำความทุกข์และกิเลสมาใช้งาน
อย่าให้ความทุกข์และกิเลสเป็นนายเหนือเรา บงการชีวิต
และใช้เราเพื่อสนองมันครับ ตรงข้าม เราจะต้องเป็นฝ่ายบริหารความทุกข์และกิเลสของตัวเอง
ด้วยการเอาพลังแห่งความทุกข์และกิเลสมาขับดันให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดี ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
อันนี้ ต่างจากการถูกความทุกข์และกิเลสช่วงใช้นะครับ อย่างแรกนี้
เราจะควบคุมมันได้ และมันจะพอดี ลงตัวกับชีวิตที่เราเป็นจริงๆ ส่วนอย่างที่สองนั้น
เราจะควบคุมมันไม่ได้ เราจะไหลไปตามมัน และมันจะพาเราออกนอกลู่นอกทาง
ไม่สอดคล้องลงตัวกับชีวิตที่เราเป็นอยู่จริงๆ ครับ การนำความทุกข์และกิเลสมาใช้งาน
ทำให้เรามีพลัง มี passion มีแรงขับดันให้เราทำหน้าที่อันควรครับ
๔ พัฒนาตัวเองโดยไม่คาดหวัง
เมื่อเราทำสิ่งดีงามสร้างบุญบารมีอะไรอย่าคาดหวังว่าจะต้องได้อะไรในชาตินี้ครับ
เพราะเราปลูกต้นไม้วันนี้ อีกหลายปีกว่าจะได้กินผล
การทำบุญกว่าจะออกดอกผลก็นานกว่านั้น ดังนั้น เราต้องไม่คาดหวังในการทำความดี
หรือสร้างบุญบารมีอะไรครับ ถือเสียว่าเป็นการ “พัฒนาตัวเอง” ไปก็แล้วกัน นี่ก็คือ
มายาการแห่งโลก ที่คนทำดี สร้างบุญบารมีแล้วมักไม่ได้ดี เพราะเงื่อนเวลาของการออกดอกผล
ทำให้เราไม่เห็นผลของความดีในปัจจุบัน ดังนั้น
เราจะต้องไม่คาดหวังว่าจะได้รับอะไรจากการทำความดี สร้างบุญบารมีด้วยครับ
เพราะหากเราคาดหวัง เราก็จะผิดหวัง หมดกำลังใจ และท้อถอย หรือมีทัศนคติในแง่ลบไปเลย
๕ อย่าหลงเชื่อมายาการแห่งโลก
อย่าเชื่อหรือตัดสินอะไรง่ายๆ เพียงเพราะตาเห็น หรือรับรู้,
สัมผัสจับต้องได้มา เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ใต้มายาการแห่งโลกทั้งสิ้น
สังขารของเรามีอวัยวะรับรู้ อันถูกสร้างมาจาก “ส่วนหนึ่งของโลก” ร่างกายถูกสร้างมาจากธาตุทั้งสี่ของโลก เป็นส่วนหนึ่งของโลก มันจึงไม่เคยอยู่เหนือโลกได้เลย ดังนั้น
ร่างกายและอวัยวะรับรู้ของเราย่อมมิอาจอยู่เหนือมายาการแห่งโลกได้
มีแต่เพียงจิตเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกสร้างมาจากโลกและอยู่เหนือโลก
หลายคนมักคิดว่าจะเชื่อแต่สิ่งที่ตาเห็นได้จริง จับต้องได้จริงเท่านั้น
แล้วไวรัสละเคยเห็นจริงหรือเปล่า? ก็ไม่เคยแต่ก็มีอยู่จริงใช่ไหม? ดังนั้น
เราจะต้องไม่หลงเชื่อมายาการแห่งโลกจากการรับรู้ของเรามากไปครับ
ทั้งหมดห้าข้อนี้ เป็นตัวอย่างของการดำรงอยู่กับมายาการแห่งโลกครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น