หยุดค้นหาคำตอบตายตัวใดๆ




ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวถึง “ธรรมอัตตามันเกิด ธรรรมะ ธรรมชาติ หนึ่งเดียวมันก็ดับไป” วลีนี้มีปริศนาซ่อนอยู่ครับ กล่าวคือ การเกิดขึ้นของธรรมอัตตา ทำให้ธรรมะ ธรรมชาติ หนึ่งเดียวดับไปได้อย่างไร?  ในบทความนี้ จะขอนำมาอธิบายจำแนก, แยกแยะ ให้เห็นเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ

ธรรมะ ธรรมชาติ หนึ่งเดียวคืออะไร?
คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือธรรมะ ธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่มีมากหรือน้อยกว่านี้ ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องลด ทว่า การเพิ่มและการลดก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ ธรรมชาติด้วย นี่คือ “ความบริบูรณ์พร้อมของธรรม” เมื่อธรรมะเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว เราจะไปตัดออกทำไม? หลายคนชอบไปตัดธรรมะที่คิดว่าไม่ใช่หรือผิดออกไป เหมือนกับการทำข้อสอบปรนัยที่ต้องตัดตัวเลือกออกไป แล้วเลือกเอาแต่ตัวเลือกที่ใช่ ที่ดี ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว ไม่ใช่นะครับ ชีวิตจริงๆ ไม่เหมือนข้อสอบปรนัยเช่นนั้น “ทุกสรรพสิ่งน่ะละ เป็นธรรมะ ธรรมชาติอยู่แล้ว” การแสวงหาสัจธรรมที่ถูกที่สุด นั้นมิใช่ทางที่ถูกต้องครับ



๒ “ธรรมะอัตตา” เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ธรรมะอัตตา คือ สิ่งที่ถูกอุปทาน ไม่ใช่ธรรมะอันแท้จริง จากนั้น ก็กลายเป็นอัตตาตัวตนที่แน่นอนตายตัว อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนปรัชญาประจำตัวหรือปรัชญาประจำสำนักฉะนั้น เมื่อใดที่เราคิดว่าเราบรรลุแล้ว เราเข้าใจสัจธรรมแล้ว สิ่งที่ถูกต้องเป็นเช่นนี้ๆ เอง เราก็จะ “คว้า” เอาสิ่งนั้นไว้เพียงอย่างเดียว และมองว่าสิ่งอื่นผิดหมด สุดท้าย เราจะละเลยธรรมะ ธรรมชาติ ที่เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว เป็นธรรมะอยู่แล้วแต่แรก นี่เพราะเรายังวนอยู่ในระบบความคิดแบบผิดถูก เราจะคิดได้แค่ว่าอะไรผิด อะไรถูก ฉันจะหาสัจธรรมที่ถูก พอพบแล้วก็ยึดติดว่านี่คือ สัจธรรมแท้ ถูกต้องอย่างเดียว อย่างอื่นผิดไปหมด นี่ละ “ธรรมอัตตา” เกิดแล้ว 

๓ ความเป็นกลางในธรรมสิ้นลงไป?
เมื่อเราเห็นสัจธรรมเป็นสิ่งถูกต้อง อย่างอื่นนอกเหนือนั้นผิดหมด เราก็จะมีใจเอนเอียง ไม่มีใจเป็นกลางต่อทุกสิ่ง ต่อธรรมทั้งหลาย นี่เรียกว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีความเห็นที่เป็นกลางตรงต่อความจริง และต่อธรรมทั้งหลาย เรามีใจเอนไปทางสิ่งที่เราคิดว่าใช่ คิดว่าถูกต้อง จากนั้นเราจะเริ่ม “ปฏิฆะ” กับสิ่งที่เราคิดว่าไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง นานวันเข้าเราก็มีประจุบวกต่อสิ่งที่เราเชื่อ และมีประจุลบต่อสิ่งที่เราไม่เชื่อ เห็นไหม ความเป็นกลางไม่เหลือแล้ว ดับสิ้นลงไปแล้ว เราจะเริ่มยึดถือสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง จะเริ่มปฏิฆะต่อสิ่งที่เราคิดว่าผิด เราจะไม่เห็นว่าธรรมทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา เท่าเทียมกัน ราบเรียบ และเป็นกลางทั้งหมด อีกต่อไปครับ

๔ เราเริ่มยึดติดธรรมตายตัวที่เน่าหนอน
เข้าใจคำว่า “น้ำเน่า” ใช่ไหมครับ? คือ อะไรที่วนซ้ำๆ เดิมๆ มุกเดิมๆ วนอยู่นั่นไม่ระบายออกไปไหนจนมัน “เน่า” เหมือนน้ำที่ไม่มีทางระบาย ขังอยู่ วนอยู่เหมือนเดิมนั้นจนมันเน่าไงละครับ การยึดติดธรรมะตายตัวแบบใดแบบหนึ่ง ก็เช่นกัน มันทำให้เราติดกับอดีต ธรรมอดีตที่เราคิดว่าใช่นั้นๆ ทั้งๆ ที่มันอนัตตา, อนิจจัง และมันดับไปในอดีตแล้ว แต่เรายังยึดถือมันอีก ความไม่เป็นปัจจุบันมันก็เกิด ความไม่สดใหม่ ก็มาแทนที่ ความตายตัวของธรรมะนี้เอง ที่ทำให้เราห่างไกลจากอนิจจัง อนัตตา เพราะเราคิดว่าธรรมะที่เราค้นพบนั้นคือสัจธรรม เรายึดติดมันมากเกินไป เราไม่ได้คลายออกจาก “สัพเพ ธรรมมา” ไม่เห็นมันเป็น “อนัตตา” เลย

๕ ชีวิตที่ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติก็เกิดขึ้น
เมื่อได้คำตอบ บางคนกลายเป็นศาสดาใหม่ ไปประกาศศาสนา ประกาศธรรมกันละ ไปหาสาวกกันละ ไปหาสาวกได้เป็นร้อยๆ พันๆ เลยก็มี นี่แหละ ชีวิตที่ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไม่ธรรมดา กลายเป็นตัวตนอะไรสักอย่างที่ “ถูกสร้าง, ถูกปั้นแต่งขึ้น” นั่นเอง มันไม่ใช่เรานะ มันไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติจริงๆ นะ เราต้องมานั่ง มาแสดงละครเป็นตัวอะไรสักอย่างที่คนดูชอบ เพื่อเรียกแขก เรียกลาภสักการะ เรียกเงินทอง ฯลฯ คนที่หลุดพ้นจริงๆ เขามีชีวิตเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ ธรรมะ ธรรมดานะ การทำตัวเป็นอะไรสักอย่างนั้นไม่ทำให้เรามีชีวิตที่เรียบง่ายเลย ชีวิตจะยิ่งซับซ้อนและยุ่งเหยิงขึ้นต่างหาก ซึ่งไม่ใช่ทางของผู้บรรลุธรรมเขาทำกัน

อนึ่ง คำตอบไม่ใช่ความถูกผิด และเราควรมีอิสระที่จะตอบครับ!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?