ค้นหาทางชีวิตที่เรากำหนดเองกันเถอะ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวแล้วว่าเราเองคือผู้กำหนด, วางแผน, เลือกชีวิต
ฯลฯ ให้ตัวเราเองมาเกิด มาเป็นในชาตินี้ สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่เราจะต้อง “เพิ่งมาทำ”
แต่ทำมานานแล้วก่อนเราเกิดเสียอีกด้วย “ตัวตนหลากหลายมิติ” ของเราโดยเฉพาะตัวตนเบื้องสูง
ในบทความนี้ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ทำไมต้องเป็นตัวตนเบื้องสูงกำหนด?
คำถามนี้ง่ายมากเลย คุณลองไปยืนบนดาดฟ้าสูงๆ
ก็จะรู้ว่ามุมมองที่คุณเห็นมันกว้างไกลแค่ไหน มันต่างจากมุมมองที่คุณเห็นยามเมื่อเดินบนพื้นดินแค่ไหน?
อย่าลืมภาวะ “ตัวตนหลากหลายมิติของคุณ” ว่าคือ “อนัตตา”
เมื่อใดที่คุณติดตัวตนเชิงสังขารตัวนี้ตัวเดียว
คุณก็จะสร้างอัตตาอันโตพองให้ตัวตนเชิงสังขารนี้ของคุณ
คุณจะหลงลืมตัวตนหลากหลายมิติของคุณ ลืมตัวตนเบื้องสูงของคุณ และคุณจะขาดศรัทธาในตัวตนเบื้องสูงนั้นที่วางแผนชีวิตให้คุณได้ในระยะยาวไกล
ด้วยญาณหยั่งรู้ที่ไปได้ไกลกว่าตัวตนเชิงสังขารนี้ของคุณมาก เมื่อคุณ “สัญญาณขาด”
กับตัวตนเบื้องสูง คุณจะเหมือนว่าวสายขาด และหลงทางในที่สุด
๒ คุณไม่ได้มีหน้าที่กำหนดชีวิตใหม่?
หากคุณเข้าใจภาวะอนัตตา เข้าใจตัวตนหลากหลายมิติของคุณเอง
คุณจะเข้าใจว่าหน้าที่ของคุณภายใต้ตัวตนเชิงสังขารนี้คืออะไร? มีขอบเขตแค่ไหน?
และไม่ก้าวก่ายเกินหน้าที่ของตัวตนหลากหลายมิติตัวอื่นๆ ครับ บางคนไปเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองตามใจตัวตนเชิงสังขารนี้
ผลคือ “ห่วยแตก” ทุกอย่างดูดีมากๆ
เมื่อมองด้วยความคิดของตัวตนเชิงสังขารที่อยู่ระดับต่ำ
แต่เมื่อมองจากมุมมองของตัวตนเบื้องสูงแล้ว ไม่ได้เรื่องเลย
แผนการณ์ที่คุณเองวางไว้อย่างดีก่อนลงมาเกิด ถูกตัวคุณเองรื้อเสียพังยับเยิน
คุณก็จะสูญเสียการควบคุมและนั่นหมายความว่าคุณขาดอิสรภาพแล้ว คุณจะต้องเป็นสาวกของใครที่ช่วยให้รอดได้ครับ
๓ ความมีอีโก้จะขวางคุณจากผู้นำ?
อย่าเพิ่งพูดเรื่องสักกายทิฏฐิเลย มันละเอียดซับซ้อนไป เอาแค่ “อีโก้”
ก่อน เอาให้ผ่านก่อน บางคนยังมีอีโก้อยู่เยอะมาก และมันกลายเป็นปัญหาครับ คือ
มันขวางกั้นไม่ให้คุณได้เจอผู้นำทางที่ดี ที่ช่วยให้คุณรอดได้
เมื่อคุณขาดการเชื่อมโยงกับตัวตนเบื้องสูงของคุณแล้ว
คุณอาจพยายามเชื่อมต่อกับตัวตนเบื้องสูงอื่นๆ ที่มีบุญบารมีมากๆ เช่น พระอามิตภะ
ฯลฯ แต่ท่านอยู่ข้างบน และสำเร็จกิจนานแล้ว เรื่องปัจจุบันของโลกนี้ไม่สันทัดแน่นอน
ท่านจึงแบ่งภาคอวตารลงมายังโลก มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเราๆ
ท่านๆ นี่ละ เพื่อช่วยเราไงครับ แต่พอเรามีอีโก้ปั้บ มันขวางกั้นเราจากสิ่งนั้น
สิ่งที่ท่านแบ่งภาคอวตารลงมาช่วยเราอยู่แล้วเลยละครับ
๔ คุณมักเอาคำตอบคนอื่นมาตอบ
เช่น ถ้าคุณไปอ่านประวัติพระกวนอิม คุณก็จะเอาแนวทางของพระกวนอิมมาเป็นคำตอบของคุณ
เส้นทางชีวิตของคุณ ตลอดจนเลียนแบบว่าตัวคุณเองเป็นพระกวนอิมสาเหตุมาจาก
“คุณสูญเสียจุดยืนของตนเอง” เหมือนว่าวสายขาด คุณเคว้งคว้าง
หาคำตอบไม่เจอว่าตัวเองเกิดมาทำไม?
เพราะเชื่อมต่อกับตัวตนเบื้องสูงของตัวคุณเองที่เป็นดั่งแสงสว่างอยู่เบื้องบน
คอยส่องนำทางคุณ ทว่า ทั้งหมดนี้มันพังไปหมดแล้วด้วยคุณเอง
คุณก็เลยเคว้งคว้างว่างเปล่า ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แท้จริง คุณก็เลยต้อง
“หาคำตอบจากการตอบของคนอื่น” เช่น พระกวนอิมทำไว้อย่างไร? พระกษิติครรภ์มีปณิธานอย่างไร?
นี่มันไม่ใช่ตัวคุณเลย
๕ คุณมักหาคำตอบตายตัวมาใช้
เมื่อคุณหลงลอย หลุดเคว้งคว้างเช่นนี้ คุณเลยอยากค้นหาคำตอบ
ค้นหาสัจธรรมเสียที คุณก็จะเริ่มค้นหาสัจธรรมนอกตัว ตอนนี้คุณลืมไปหมดแล้วว่าตัวตนหลากหลายมิติของคุณเชื่อมโยงกับคุณยังไง?
ประสานกับคุณยังไง? วางแผนให้คุณไว้อย่างไร? คุณอยู่ในสภาวะ “ปัจเจก” เต็มที่
และมันกำลังกลายเป็นอัตตาในที่สุดด้วย เพราะคุณจะเห็นชีวิตเป็นเพียงตัวตนเชิงเดียว
ตัวเดียว คือ สมมุติสังขารที่คุณหยิบยืมใช้อยู่ตอนนี้ คุณลืมคำตอบที่มีอยู่แล้วไป
แล้วคุณก็หาคำตอบใหม่นอกตัวที่คิดว่า “ใช่” อะไรที่ดูตรงสเป็กคุณในตอนนั้น ก็จะคิดว่าคือ
“สัจธรรม” ฉันค้นพบแล้ว นี่ละ “ธรรมอัตตา” มันเกิด ธรรรมะ ธรรมชาติ หนึ่งเดียวมันก็ดับไป
สุดท้าย คุณจะเป็นปลาที่ติดเบ็ดโดยมีสัจธรรมเป็นเหยื่อล่อ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น