ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยธรรมชาติจัดสรร





แท้แล้วเราทั้งหลายได้เลือกชีวิตเองก่อนที่เราจะลงมาเกิดเสียอีก เมื่อเราเลือกที่จะเป็นเช่นที่เราเป็นอยู่นี้ เรารู้ เราเห็นว่ามันคือทางเลือกที่ดีที่สุดในการพัฒนาจิตญาณของเราเอง เราเลยเลือกทางนี้ ทว่า เมื่อลงมาเกิดแล้วเราก็หลงลืมมัน เริ่มปฏิเสธมัน เริ่มปฏิเสธธรรมชาติที่เราเป็น ในบทความนี้ขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ

๑ ธรรมชาติจัดสรรทุกอย่างบริบูรณ์แล้ว
ไม่ว่าคุณจะเกิดมาเป็นอย่างไร? จะรวยหรือจน? จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ทุกอย่างล้วนมี “เหตุผล” ของมันทั้งสิ้น เมื่อคุณเข้าใจเหตุปัจจัยตามหลักอิททัปปัจจยตา คุณจะยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ได้ และอยู่กับมันโดยไม่ฝืน ไม่ข้อง ไม่ขัด ไม่ต้าน ไม่ตาม ฯลฯ ต่อธรรมชาติรอบตัว เพราะทุกอย่างได้รับการจัดสรรมาอย่าง “พอดี” แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องไปทำให้มันพอดีอีก เช่น บางคนเกิดมาเป็นผู้หญิงบวชพระไม่ได้ เพราะตัวเขาเองเลือกที่จะมาในรูปลักษณ์นั้น อวตารมาเป็นหญิง ไม่ได้ต้องการเป็นชาย ไม่ได้ต้องการบวชหรือมาเป็นพระ บางคนเกิดมาจน ก็เพราะเลือกมาบำเพ็ญในรูปลักษณ์นั้น อวตารมาเป็นชาวนาที่ยากจน เป็นต้น
                                                                                                          
๒ การกระทำของมนุษย์ย่อมมีเสมอ
ธรรมชาติทำหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้ว จัดสรรดีแล้ว มนุษย์ก็ต้องทำส่วนของมนุษย์ด้วย ไม่ใช่ให้ธรรมชาติทำ แต่มนุษย์ไม่ทำอะไรเลย ก็หาไม่ ดังนั้น การกระทำของมนุษย์ย่อมมีเสมอ มิใช่ถือว่าธรรมชาติจัดสรรดีแล้วก็เลยไม่ยอมทำอะไรเลย แบบนั้นไม่ถูกต้องครับ เพราะมนุษย์กับธรรมชาติจะต้อง “สมดุลกัน” ธรรมชาติมากเกินมนุษย์ หรือมนุษย์มากเกินธรรมชาติ ก็จะเกิดปัญหาตามมาทันที เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต มีเจตจำนงเสรีที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ดังนั้น มนุษย์ย่อมไม่ถูกสร้างให้เป็น “พระอิฐพระปูน” ให้คนมารุมล้อมกราบไหว้แน่นอน แต่การกระทำในส่วนของมนุษย์ที่มีความพอดีเป็น “สัมมากัมมันตะ” นั้น เป็นสิ่งที่มีได้ยากครับ

๓ ศิลปะการกระทำแทนของมนุษย์
หลายคนเข้าใจผิดว่าธรรมชาติคือความสวยงามเพราะชอบดูภาพธรรมชาติที่งดงาม แต่ผู้เขียนแนะนำให้ลองดูสารคดีท่องโลกกว้างบ้าง คุณจะเห็นสัตว์กินสัตว์ การล่าเหยื่อที่โหดร้าย การฆ่าสารพัดวิธีของสัตว์ในป่า นั่นคือ “ธรรมชาติ” ที่แท้จริง มันมีความโหดร้าย, ป่าเถื่อน, ความดิบๆ ฯลฯ อยู่ครับ ส่วนมนุษย์เราไม่ใช่เช่นนั้น แม้มนุษย์จะฆ่ากันด้วยการประหารชีวิตก็ต้องมีวิธีการที่ดีครับ เช่น การตัดศีรษะจะต้องกระทำให้ไม่ทรมาน ตัดทีเดียวตายไปเลย หากมนุษย์ไม่กระทำ สัตว์ทั้งหลายก็หนีอนิจจังไม่พ้น ต้องตายทุกตัวอยู่ดี การกระทำแทนของมนุษย์ก็คือ “ศิลปะ” ทำอย่างไรจะไม่โหดร้าย ป่าเถื่อนเหมือนธรรมชาติลงโทษ นั่นเองครับ

๔ “สัมมากัมมันตะ” การกระทำที่พอดี
ดังที่กล่าวแล้วว่าแม้ธรรมชาติจัดสรรให้พอดีแล้ว แต่การกระทำของมนุษย์ก็ต้องมีอยู่เช่นกัน เป้าหมายไม่ใช่อยู่ที่การเข้าไปรบกวนระบบหรือการจัดสรรที่ดีอยู่แล้วของธรรมชาติ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ การกระทำที่พอดีหรือ “สัมมากัมมันตะ” ถ้ามนุษย์กระทำมากเกินไปฝืนธรรมชาติมากไป มนุษย์อาจได้รับผลร้ายเสียเอง แต่ถ้ามนุษย์ทำน้อยไปก็จะถูกธรรมชาติกระทำแทนที่เรียกว่า “ความโหดร้ายป่าเถื่อน” นั่นละ ดังนั้น มนุษย์จะต้องกระทำอย่างพอดีเรียกว่าสัมมากัมมันตะ เมื่อนั้นการกระทำของมนุษย์ก็จะกลมกลืนกับธรรมชาติได้ ไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่ต้าน ไม่ตาม เป็นตัวของตัวเอง มีศิลปะ มีเจตจำนงเสรีและลื่นไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ 

๕ เมตตาและอุเบกขาย่อมจะพอดีกัน
หากคุณใช้เมตตามากไปแต่ไร้อุเบกขา คุณก็จะเข้าไปก้าวก่าย ก้าวล่วงในชีวิตคนอื่น ทำอะไรเกินขอบเขตมากเกินไป แต่ถ้าคุณใช้อุเบกขามากเกินไป หาเมตตาไม่ได้หรือไม่มีเลย คุณก็จะกลายเป็นคนที่ไม่แคร์ใคร ไม่สนใจใคร ไม่ช่วยเหลือดูดายอะไรใครเลย แบบนี้เรียกว่า “ไม่พอดี” ไม่สมดุล หากคุณเข้าใจการกระทำที่พอดี คุณจะมีเมตตาและอุเบกขาที่พอดีกัน เหมือนการหามคานสองข้างเท่ากัน ไม่เอียง ย่อมไม่หนักข้างใดมากเกินไป ทั้งนี้ก็อยู่ที่คุณเองจะพิจารณาว่าจะเข้าไปยุ่ง ไปก้าวก่ายในเรื่องนั้นๆ ของใครหรือไม่ เพราะเหตุใด? มันเป็นเจตจำนงเสรีของคุณเอง และเมื่อคุณเข้าไปยุ่งแล้วคุณก็ต้องพร้อมยอมรับผลที่จะตามมาครับ

ชีวิตที่ดำเนินด้วยธรรมชาติจัดสรรนั้น ย่อมมีมนุษย์กระทำด้วยเสมอ!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?