พละห้าไม่สมังคีดูอย่างไร?
พละห้าได้แก่ ศรัทธา, วิริยะ, สมาธิ, สติ, ปัญญา
นั้นจะต้องสมดุลพอดีกัน เหมือนดั่งแขนขาและอวัยวะของคนที่ประสานงานกันได้อย่างดี
แต่ถ้าพละห้าไม่สมังคีกันแล้วผลจะเป็นอย่างไร? ในบทความนี้จะขออธิบายวิธีสังเกตุว่าพละห้าของท่านไม่สมังคีกันด้วยวิธีง่ายๆ
ไม่ต้องมีญาณหรือตาทิพย์ก็ดูออกได้ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ แข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ตายซาก
กรณีนี้เกิดได้เมื่อมีสมาธิมากกว่าพละห้าตัวอื่นหรือสติอ่อนกำลังลง
เมื่อไม่มีสติรู้เท่าทันสภาวะธรรมรอบตัวที่เกิดดับ ก็เหมือนคนตายแล้วหรือท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ที่แข็งทื่อหรือตายซากอยู่ฉะนั้น ย่อมไม่มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบตัว
หลายคนมักคิดว่าภาวะนี้เป็นภาวะของพระอรหันต์ ทว่า จริงๆ แล้วเป็นภาวะของความไม่สมังคีกันของพละทั้งห้าครับ
หลายคนชอบอุปทานไปเอง คิดฝันไปเองว่าพระอรหันต์จะต้องแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้หรือพระอิฐพระปูนที่ไม่มีชีวิต
ไม่มีจิตใจ อันนี้เข้าใจผิดกันไปเองนะครับ ลักษณะของการแข็งทื่อจนไม่มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบตัวได้ตามปกตินี้
เพราะพละห้าไม่สมังคี เพราะสติอ่อนกำลังนั่นเองครับ
๒ หวาดระแวงเป็นกระต่ายตื่นตูม
กรณีนี้เกิดได้เมื่อมีสติมากกว่าพละห้าตัวอื่นๆ หรือสมาธิอ่อนกำลังลง
ทำให้ไม่นิ่ง หรือว่องไวต่อธรรมชาติรอบตัวมากผิดปกติ คนที่ปฏิบัติธรรมและมีสติแก่กล้ามากๆ
อาจมีลักษณะแบบนี้ได้ครับ ก็อย่าเพิ่งตกใจว่าเขาบ้าหรือเพี้ยน แต่เป็นเพราะเขามีสติว่องไวมากเป็นพิเศษ
มากกว่าคนอื่นๆ ลักษณะจะเหมือน “สัตว์ป่า” ที่ตื่นตัวตลอดเวลา
ระแวงว่าจะมีสัตว์ใหญ่กว่ามาล่า มาจับตนไปกิน แบบนี้คือ ลักษณะของการมีสติครับ
คนที่ไม่มีสตินั้น จะหลงเพลิน จะเพลิดเพลินกับโลกนี้ จะยังไม่ตื่น ไม่ตระหนัก
ไม่ตระหนก ฯลฯ ก็จะไหลไปกับอะไรต่อมิอะไรได้ง่าย แต่คนที่มีสติมากๆ
จะตื่นเตลิดเหมือนสัตว์ป่าได้ ทว่า พละห้ายังไม่สมังคีกันครับ
๓ บ้า หลุดโลก หลุดๆ ไม่อยู่กับโลก
กรณีนี้เกิดได้เมื่อมีปัญญามากกว่าพละห้าตัวอื่นๆ
หรือศรัทธาอ่อนกำลังลง ทำให้ไม่เชื่อถืออะไรใครอีกแล้ว ก็จะกลายเป็นคนหลุดโลก
คิดอะไรหลุดๆ ฟุ้งๆ บ้าๆ ได้ ทว่า สิ่งที่คิดก็เป็นอะไรที่เหนือชั้นนะครับ
ไม่เหมือนคนบ้าจริงๆ คนบ้าจริงๆ จะคิดอะไรไม่ถูก ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
แต่คนที่มีปัญญามากๆ จะบ้าหลุดโลกได้ เพราะปัญญาที่แท้จริงนั้นมีลักษณะทำให้หลุดพ้นจากโลก
ตื่นจากโลก ไม่หลงโลกอยู่แล้ว เมื่อใครมีปัญญามากๆ
เข้าก็จะทำอะไรไม่อยู่ในกฏเกณฑ์ของโลกได้ คิดอะไรที่เหนือชั้น หลุดโลกได้
กรณีนี้จำต้องมีศรัทธาแก่กล้าขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้สมดุลกับปัญญา เมื่อมีศรัทธาต่อใครบางคนในโลก
ก็จะไม่หลุดโลกครับ
๔ ชอบทำสิ่งที่ผิดหรือชอบแหกคอก
กรณีนี้เกิดได้เมื่อมีวิริยะมากกว่าพละห้าตัวอื่น ทำให้ทำอะไรมากเกินไป
ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น หากพัฒนาสติให้มากขึ้น สติก็จะบอกให้หยุด
ทำให้รู้ตัวว่าทำสิ่งที่ผิดหรือไม่ใช่ได้ ถ้าพัฒนาปัญญาให้มากขึ้น ก็จะสว่างไสว มองเห็นทางว่าควร ไม่ควรทำอะไร? ถ้าพัฒนาสมาธิให้มากขึ้น ก็จะนิ่งขึ้น กว่าเดิม จะไม่ทำอะไรผิดๆ นอกลู่นอกทางมากเกินไป
ถ้าพัฒนาศรัทธาแล้วได้ผู้นำที่ดีที่ตนนับถือ
ผู้นำคนนั้นก็จะคอยนำทางให้ไม่เดินทางผิด ไม่ออกนอกลู่นอกทาง
คนที่มีวิริยะมากเกินไปกว่าพละห้าตัวอื่นๆ อาจชอบแหกคอกหรือทำสิ่งที่ผิดได้ ทว่า
นั่นก็เพราะเขามีกำลังวิริยะมากนั่นเอง หรือเพราะพละห้าตัวอื่นอ่อนกำลังครับ
๕ ลุ่มหลงงมงายบางสิ่งมากเกินไป
กรณีนี้เกิดได้เมื่อมีศรัทธามากกว่าพละห้าตัวอื่น
ทำให้ลุ่มหลงงมงายใครหรืออะไรมากเกินไป จนลืมใช้สติ ใช้ปัญญา และมักเชื่อว่าคนที่ตนศรัทธานั้นคือ
“ต้นตำรับแห่งความถูกต้อง” ไม่ว่าอะไร คนที่เราศรัทธาต้องถูกต้องเสมอ
ใครจะบอกว่าเขาผิด ไม่ได้ พอใครมาบอกว่าผิด จะเกิดอาการรุนแรงเหมือนจะเป็นจะตายก็มี
ทั้งที่จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรผิดอะไรถูก แต่คนที่ไม่มีปัญญาจะเข้าใจตรงนี้
จะมองหาว่า “อะไรที่ถูกต้อง” พอไปเจอใครสักคนที่ถูกใจ ตรงเสป็ค ก็จะยกให้ ตั้งให้เป็นตัวแทนแห่งความถูกต้อง
เขาพูดอะไรก็ต้องถูกไปหมด ใครจะมาว่า มาลบหลู่สิ่งที่เราเชื่อ
คนที่เราศรัทธาไม่ได้ จะเกิดอาการรุนแรงเหมือนโดนยาสั่งเลยครับ
อาการพละห้าไม่สมังคีกัน มีตัวอย่างเบื้องต้นไว้เท่านี้ก่อนครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น