มหากรุณาอันแท้จริงคืออะไร?



หลายคนคิดว่าตัวเองมีพรหมวิหารสี่แล้ว เพราะใจดีมีเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย ทว่า หลายคนยังอาจจะได้แค่เมตตาเท่านั้นเอง แล้วติดอยู่กับเมตตา ไม่อาจก้าวหน้าต่อไปสู่ “กรุณา” ได้ เพราะอะไร? เพราะติดความดีมากเกินไป จึไม่เข้าถึงมหากรุณาอันแท้จริง ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายให้เข้าใจตรงกัน ดังต่อไปนี้

๑ ความเมตตาที่ทำร้ายคน?
อย่างแรก เรามาเริ่มต้นจากหลัก “พรหมวิหารสี่” ก่อนนะครับ พื้นๆ ได้แก่ เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา อันเมตตากับกรุณานั้น บางครั้ง “ตรงข้ามกัน” นะครับ แปลกไหม? เช่น แม่รักลูก เรียกว่าเมตตา แต่เพราะแม่รักลูกแม่จึต้องตีลูก การตีลูกก็คือ “กรุณา” นั่นเอง คือ แม้เรารักเขาแต่เราต้องทำร้ายเขา เหมือนตัวร้าย เพื่อให้เขาได้ดี ใช่ไหมครับ นี่แหละ “หัวใจสำคัญ” ที่ผู้เขียนอยากจะบอก เพราะหลายคนมีเมตตาที่เป็นพิษ หลงผิดคิดว่าจะต้องคิดดี, พูดดี, ทำดี เพื่อคนที่เรารัก ใครเคยมีลูก ผู้เขียนว่าน่าจะทราบดีนะ ทำไมเราต้องตีลูก ดุด่าเขา? เพื่อให้เขาได้ดีใช่ไหม? นี่แหละ ความกรุณานั้นบางครั้งมันกลับแสดงออกตรงข้ามกับเมตตา

๒ ยิ่งกรุณามากยิ่งทำกรรมมาก
ดังที่บอกแล้วว่ากรุณานั้นแสดงออกตรงข้ามกับเมตตา ยิ่งคุณกรุณาคนมาก คุณยิ่งแสดงออกด้วยการทำกรรมมาก แปลกไหม? เช่น ถ้าคุณรักหมามาก ทำดีต่อมันทุกประการ ผลคือ มันจะต้องเกิดเป็นหมาไปอีก หลายร้อยชาติไม่หลุดพ้นได้เลย เพราะอะไร? เพราะจิตมันถูกฝังไว้ว่าเป็นหมาแล้วมีความสุข สบาย ไม่ต้องทำงานแบบคนก็มีกินแล้ว นี่เรียกว่า “เมตตาที่เป็นพิษ” การปกครองบ้านเมืองก็เช่นกัน บางครั้ง การที่คุณดุกับประชาชนนั้นคือ “มหากรุณา” เพราะคุณทำเพื่อให้เขามีชีวิตที่ดี เช่น การลงโทษคนทำผิด, การเกณฑ์ทหาร, การเก็บภาษี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ประชาชนล้วนเสียผลประโยชน์ทั้งสิ้น แต่ก็เป็นไปเพื่อช่วยพวกเขาครับ

๓ ยิ่งกรุณายิ่งต้องกล้ารับกรรม
ดังที่บอกแล้วว่ายิ่งกรุณายิ่งต้องทำกรรม ดังนั้น “คุณต้องพร้อมรับกรรมนั้นไว้เอง” เช่น ถ้าลูกมีกรรมต้องถูกเขาหลอกลวง คุณดุด่าลูกเพื่อให้ลูกหายหลงเขาได้ ลูกพ้นกรรมได้แล้ว คุณเองน่ะละ ที่จะต้องรับกรรมที่ไปดุด่าลูก จริงไหม? ดังนั้น อันความกรุณานั้น มันจะมาพร้อม “ความรับผิดชอบต่อผลกรรมแทนปวงสัตว์” อยู่เสมอ หากคุณไม่พร้อมรับกรรมแทนสัตว์เหล่านั้น คุณก็อย่าทำ เก็บความรักไว้ในใจ ไม่ต้องทำอะไรๆ ให้เขา แต่ถ้าคุณพร้อมแล้วที่จะรับผิดชอบ รับกรรมแทนเขา คุณก็จะมี “กรุณา” ได้ หลายคนมีแต่เมตตา แต่พอจะทำออกมาแล้วไม่ใช่กรุณานะ ทำออกมาคือ “เมตตาที่เป็นพิษ” เสียส่วนใหญ่ แบบ “พ่อแม่รังแกฉัน” ไงครับ
                                                                                                         
๔ คุณต้องกล้าที่จะเป็นตัวร้าย
เมื่อคุณจะใช้ “มหากรุณา” คุณต้องกล้าจะไม่เป็นนางเอก ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนที่เขารัก เขาอาจจะเกลียดคุณไปเลยก็ได้เหมือน “ความรักของพ่อ” ขององค์พระบิดา ท่านจะทำให้โลกเกิดภัยพิบัติ พวกเราอาจจะไม่ชอบ คิดว่าพ่อดุเราเหลือเกิน ที่ไหนได้ ท่านทำไปเพื่อให้เราตื่นแจ้ง ไม่หลงโลกอีกต่อไป แต่ท่านต้องทำด้วยความกรุณาดังนั้น ท่านจำต้องเล่นบทโหด จำต้องทำให้โลกเกิดภัยพิบัติ คุณพอจะเข้าใจไหม? การหลงติดอยู่กับ “ตัวตนพระเอกนางเอก” ตลอดไป คุณจะไม่สามารถช่วยใครได้เลย หากคุณต้องการช่วยเหลือเขาจริงๆ คุณจะต้อง “กล้าเล่นบทตัวร้าย” มันเป็นเช่นนี้จริงๆ หากคุณเคยช่วยเหลือใครสักคนให้พ้นทุกข์ได้ คุณจะเข้าใจ

๕ พรหมวิหารสี่
สุดท้าย เมื่อคุณได้ “มหากรุณา” แล้ว ต่อไปคุณจะต้องก้าวไปสู่ “มุทิตา” และ “อุเบกขา” ด้วย คำว่า มุทิตา หรือ “ยินดีที่ผู้อื่นได้ดี” มันมีความหมายกว้างและแยบยลมาก ไม่อาจอธิบายได้แค่คำแปลสั้นๆ เช่น การที่คุณเห็นคนได้รับวิบากกรรม คุณผ่านมหากรุณามาแล้ว คุณรู้แล้วว่าการช่วยใครสักคนให้ได้จริงๆ อาจต้องทำร้ายเขาก็ได้ คุณก็จะไม่ “มีอคติ” กับสิ่งที่เห็น ไม่คิดว่ากรรมไม่ดี กรรมเป็นสิ่งเลวร้าย ฉันอยากช่วยเขาให้พ้นจากกรรม คุณจะไม่คิดแบบนี้ คนที่มีมุทิตาจิต จะคิดว่า “อ้อ นั่นกรรมนั้นแหละ กำลังช่วยให้เขาตื่นแจ้ง” พอมีมุทิตาจิต สว่างไสว ไม่มีอคติหรือมุมมองเชิงลบกับกรรม สุดท้ายแล้ว “อุเบกขา” ก็จะเกิดขึ้นมาได้เอง

พรหมวิหารสี่ก่อเกิดเป็นลำดับหนุนกัน ไม่ใช่ตัวใครตัวมันนะครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?