ร่ำรวยด้วยพลังมืดอย่างถูกวิธี




หลายท่านฝึกพลังจักรวาลและการจูนพลังความถี่ มักชอบติดอยู่กับระบบความคิดแบบ “ข้อสอบปรนัย” คือ การเลือกตัวเลือกที่ถูกที่สุด แล้วตัดตัวเลือกอื่นทิ้งไป หลายคนก็เลือกแต่สิ่งดีๆ พลังด้านดี, พลังด้านบวก, พลังภาคสว่าง ฯลฯ ทำให้เข้าใจโลกด้านเดียว ในบทความนี้จะขออธิบายโลกอีกด้าน ดังต่อไปนี้ครับ

การใช้พลังมืดที่ผิดวิธีคือ?
หลายคนอยากรวยเร็วๆ ก็เข้าสู่ภาคมืดและใช้พลังมืดครับ เช่น คนที่แลกวิญญาณกับซาตาน ก็จะร่ำรวยได้ แต่พวกเขาจะต้องกลายเป็นทาสซาตานซึ่งไม่คุ้มกันเลยครับ ในบทความนี้จึได้นำเรื่องการใช้พลังมืดให้ถูกวิธีมาอธิบายให้ฟัง เพราะในลัทธิเต๋าก็มีหลักการใช้พลังดำหรือพลังมืดเช่นกัน เรียกว่า “เต๋าหมวกดำ” หรือในพุทธก็มี ที่เรียกว่า “ห่มกลักดำหรือจีวรดำ” แท้แล้วสรรพสิ่งไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตาตัวตน เราเพียงแค่เรียนรู้แล้วผ่านไปให้ได้ หลายคนเรียนรู้ผิดพลาดเลยผ่านไม่ได้ เพราะใช้พลังมืดดำผิดวิธีนั่นเอง ในบทความนี้ได้นำแนวทางในการใช้พลังอีกด้านที่ตรงข้ามกับด้านสว่าง คือ ด้านมืดมาเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษากัน

ทำไมเราต้องใช้พลังมืด?
แท้แล้วเรามีทั้งสองด้านครับ ทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านมืดและด้านสว่าง เราลงมาสู่โลกนี้เพื่อ “ชำระล้างด้านมืดบาป” ของเราเอง นั่นคือ หน้าที่ของเรา พลังด้านมืดนั้นจะช่วยเราในการรองรับพลังภาคสว่างด้วย หากเราไม่มีพลังด้านมืดรองรับด้านสว่าง ก็เหมือนเราไม่มีเตารองรับไฟ เราเองจะแย่ครับ เพราะพลังภาคสว่างที่ส่องมาจากจักรวาลสู่ตัวเรานั้น มีความถี่สูงมาก เกินกว่าที่สังขารของมนุษย์จะทนทานได้ ทำให้ละสังขารได้ เหมือนที่ศาสนาพุทธกล่าวว่าผู้ที่บรรลุอรหันต์หากไม่บวชพระจะทรงขันธ์ได้ไม่นาน นั่นละครับ การห่มดำก็คือทางออก พลังด้านมืดด้านดำที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองง่ายๆ จะช่วยให้เราทรงขันธ์ได้นานขึ้น นั่นเอง

ทำไมผู้ใช้พลังมืดจึรวย?
เพราะจักรวาลต้องการให้เราลงมาเกิดในโลกนี้เพื่อชำระล้างตัวตนด้านมืดของเราเอง เมื่อเราทำหน้าที่ คือ ยอมรับตัวตนด้านมืดของเราเอง ยอมรับว่าเราเองก็มีด้านมืด ด้านไม่ดี จักรวาลจึดูแลเรา ทำให้เรารวยไงละครับ คนที่ไม่ยอมแปดเปื้อนอะไรเลย จะไม่มีทางรวย จริงไหม? นอกจากเขาจะมีบุญเก่าก็เท่านั้นเอง คนที่เข้าทางมืด เข้าหาซาตานก็มักรวยเพราะเหตุนี้ ทว่า เมื่อพวกเขาเข้าสู่ทางนี้แล้ว หลายคนชำระล้างตัวตนด้านมืดของตนไม่สำเร็จ ทำให้พวกเขาถูกพลังด้านมืดกลืนเข้าไปด้วย แล้วกลายเป็นภาคมืดไปอีกตัวตน นี่คือปัญหาครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวตนด้านมืด แต่ปัญหามันอยู่ที่เราจะชำระล้างตัวตนนั้นให้สำเร็จได้ยังไง

๔ การใช้กิเลสเป็นโพธิ
ในทางพุทธเองก็มีการสอนเรื่อง “กิเลสเป็นโพธิ” หมายความว่าอะไร? ในบทความก่อนๆ เคยได้กล่าวแล้วว่ากิเลสไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตนแต่แรก หากเราคิดว่ามันมีตัวตนของตน เราจะพยายามไปทำลายมันให้สิ้น นี่เพราะเราไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่อัตตาตัวตนแต่แรก แต่ถ้าเราเข้าใจว่ามันไม่ใช่อัตตาตัวตนอะไรที่จะต้องไปอะไรๆ กับมัน เราก็จะเข้าใจหลักอิทัปปัจจยตาที่มองว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุและผล เมื่อไม่มีเหตุ เหตุดับ ผลก็ดับไปด้วย เราก็จะเข้าใจว่ากิเลสก็มีหน้าที่ของมัน เมื่อมันหมดเหตุ มันก็ดับไปเอง เพราะมันไม่ใช่อัตตา มันไม่เที่ยงในตัวเองอยู่แล้ว เมื่อนั้นเราก็จะสามารถใช้กิเลสเป็นโพธิได้ คือ เป็นเหตุไปสู่โพธิจิตของเรานี่เอง

๕ เคล็ดลับการใช้พลังมืด
การใช้พลังด้านมืดดำนั้นยากกว่าพลังด้านขาวสว่าง ดังนั้น ผู้ใช้จะต้องมีศีลแก่กล้ามากกว่าคนทั่วไป หรือคนที่ใช้พลังด้านขาวสว่างอีกด้วย เรียกว่า “เคร่งสุดๆ” เพราะหากผิดพลาดไปเพียงน้อย ก็อาจพลาดท่าถูกพลังมืดดำครอบงำได้ง่ายๆ การมีศีลมากหรือเคร่งครัดมากๆ จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้นั่นเอง สุดท้าย ผู้ใช้พลังมืดจะต้องผจญด่านเป็นตาย คือ จะต้องผ่านการตายจากภายใน ตายทางจิตวิญญาณ เพื่อให้พลังมืดที่เคยใช้นั้น “ดับสลาย” ให้หมด ก็จะหลุดพ้นจากพลังด้านมืดดำได้ เรียกว่า “สลายอวิชชา” ก็ได้ เมื่อนั้นจะ “กำเนิดใหม่” ไม่ใช่ทั้งมืดและสว่าง จึจะหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ปรัชญา, ทฤษฎี หรือพูดให้ดูหรูๆ

สัจธรรมคือความจริงที่เราต้องยอมรับ ไม่ใช่เลือกแต่ที่ชอบใจครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?