การจูนคลื่นความถี่พลังที่แม่นยำ
หลายท่านฝึกพลังจักรวาลและการจูนพลังความถี่โดยใช้ความรู้สึกเป็นสำคัญ
ทว่า สิ่งที่ทำอยู่ยังไม่ถูกต้องนักครับ
ทำให้ยังไม่สามารถนำพลังจักรวาลมาใช้ได้ผลนัก ในบทความนี้จะขอนำเรื่องราวของการจูนคลื่นความถี่พลังงานที่ถูกต้อง
แม่นยำ มาเรียนรู้ร่วมกัน เพราะมันจะช่วยยกระดับจิตของเราได้ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ การจูนคลื่นความถี่แบบกว้าง
เช่น
ความคิดเชิงบวก, ความรัก ฯลฯ แบบนี้เป็นการจูนคลื่นพลังแบบกว้างๆ ครับ เพราะใครๆ
ก็มีความรักได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพ, มาร หรือปีศาจ ดังนั้น
เมื่อเราจูนกับพลังแห่งรักได้ มันก็จะเป็นการจูนแบบกว้างๆ ยังไม่แม่นยำ
ไม่เฉพาะเจาะจงลงไป ทว่า มันคือ จุดเริ่มต้นแรก ที่เราจะเข้าใจคำว่า
จูนคลื่นความถี่ให้ตรงกัน เราจะต้องเริ่มต้นจากการหัดจูนคลื่นความถี่แบบนี้ให้ถูกต้องก่อน
บางคนยังจูนไม่เป็น เช่น ยังใช้การคิดเอา แทนพลังงานความถี่จริงๆ
พลังงานความถี่จริงๆ นั้นมาจากจิต จิตคือพลังงาน ไม่ได้มาจากสมอง
ไม่ได้มาจากการคิดเอา แม้สมองจะมีคลื่นความถี่ของความคิด แต่หากเราใช้สมองแทนจิต มันจะเกิดปัญหาได้ครับ
๒ การจูนคลื่นความถี่แบบแคบ
เช่น
หาก นาย ก. มีพลังของพระศิวะ เราไปจูนคลื่นความถี่โดยมีความรักต่อนาย
ก. เราอาจได้พลังของพระพิฆเนศได้
แบบนี้เรียกว่าการจูนคลื่นความถี่แบบแคบและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คุณต้องเข้าใจก่อนว่าพลังจักรวาลนั้นมีมากมายหลากหลาย
การจูนพลังจักรวาลย่อมทำได้ยากหากคุณจูนโดยตรงโดยไม่ผ่านคนอื่น
แต่การจูนพลังงานโดยจูนกับคนอื่นที่จูนพลังจักรวาลได้แล้ว ได้ก่อนคุณ
จะช่วยทำให้คุณจูนพลังได้ง่ายขึ้น ดังนั้น
คนที่ไปพบพระพุทธเจ้า ได้รับการจูนจากท่านย่อมสบายกว่าคนที่ไม่ยอมใครเลยแล้วพยายามจูนเอง
จริงไหม? ตรงนี้เอง “ความศรัทธา” จะช่วยคุณได้
ผู้ศรัทธาพระเยซูย่อมจะจูนพลังตรงกับพระเจ้าได้ง่ายกว่า
๓ การคิดกับคลื่นความถี่ของจิต
ดังที่กล่าวแล้วว่าพลังงานที่ออกมาจากจิตของเราไม่ใช่คลื่นความคิดที่ออกมาจากสมอง
แต่สมองจะช่วยให้เราเล็งได้แม่นยำขึ้นเช่น
เมื่อเราอยากจูนพลังงานให้ตรงกับพระพุทธเจ้า
เราใช้สมองสร้างมโนภาพเป็นภาพพระพุทธรูป
แบบนี้จะทำให้จิตเราจูนคลื่นได้ตรงง่ายกว่าการที่ไม่มีตัวช่วยอะไรเลย จริงไหม?
ทีนี้ เราเข้าใจการทำงานของสมองกับจิตแล้วนะว่าคนละส่วนกัน
และสมองจะช่วยงานให้จิตได้อย่างไร? ต่อไป เราต้องหัดใช้จิตให้มากขึ้น
ใช้สมองคิดให้น้อยลง เพราะจิตเป็นพลังงานแก่นแท้ในตัวเรา
แต่สมองเป็นแค่อวัยวะของสังขารที่ไม่ใช่แก่นแท้ของตัวเรา หากใช้มันมากเกินไป
มันอาจจะเสื่อมและสลายลงไป (คิดจนบ้าได้)
๔ การจูนคลื่นความถี่เพื่อยกระดับ
ในการยกระดับนั้น เราจะต้องมี “ต้นแบบ” ก่อน
หากเราไม่มีต้นแบบ ก็เหมือนไม่มีเป้าหมายปลายทาง ไม่รู้ว่าเราจะยกระดับไปทางไหน
จริงไหมครับ เช่น เดิมเราเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่เราจะยกระดับจิตของเราไปสู่ความเป็นเทพ
เราก็ต้องมีต้นแบบก่อนว่าเราจะเจริญรอยตามเทพองค์ไหน? ไม่ใช่อะไรก็ไม่รู้ มั่วไปหมด
จับแพะชนแกะ แบบนั้นการยกระดับจะยุ่งเหยิงและสำเร็จได้ยากครับ หลายคนเคยเจอ
“คนมีองค์และคนทรง” มาบ้างแล้ว นั่นคือ การใช้เทพเป็นต้นแบบในการยกระดับจิตวิญญาณของเขาครับ
และเพื่อให้คลื่นความถี่ตรงกัน พวกเขาเลยคิดว่าตัวเองเป็นเทพองค์นั้นๆ ไปเลย ผลคือ
การจูนได้ผลดีมาก แต่จะหลงตัวเองนั่นเอง
๕ เทคนิกการจูนกับเทพต้นแบบ
การจูนคลื่นความถี่ให้แนบสนิทมีหลายวิธี
ที่เราเห็นบ่อยคือ “การคิดว่าเราเป็นเทพองค์นั้น” เมื่อเราจูนพลังได้สำเร็จ
เราจะไม่ใช่เทพองค์นั้นจริงๆ แต่พลังของเทพองค์นั้นจะจูนมาที่ตัวเรา
ทำให้คนเชื่อว่าเราเป็นเทพองค์นั้นๆ ได้ ข้อเสียคือ เราจะหลงตัวเอง
และแยกแยะไม่ออกว่าเรากับเทพไม่เหมือนกัน จนไม่เป็นตัวของตัวเองได้ครับ
เทคนิกการจูนพลังกับเทพต้นแบบที่ดีกว่านั้นคือ “ความศรัทธาต่อเทพ” เช่น
ถ้าพระพิฆเนศมีศรัทธาต่อพระศิวะ แทนที่เราจะคิดว่าเราเป็นพระพิฆเนศ
เราก็ใช้ความศรัทธาต่อพระศิวะแบบเดียวกับพระพิฆเนศแทน โดยที่เราไม่ต้องไปคิดว่าเราเป็นพระพิฆเนศก็ได้
(อาศัยพลังศรัทธาที่มีความถี่เหมือนกันก็พอ)
การจูนพลังจากคนอื่น
อาจทำให้เราได้พลังจักรวาลนั้นมาจากเขาก็ได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น