กระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด?
เป็นคำกล่าวในโศลกของท่านเว่ยหลาง
ซึ่งแสดงว่าท่านมีความเข้าใจเรื่องจิตประภัสสรดียิ่ง
หลายคนอาจยกตัวเองด้วยการเอาชนะด้วยคำว่า “ไม่มีกระจก จะเช็ดอะไร” ใช่ไหม? เอาละ
ผู้เขียนจะไม่เอาประเด็นอื่น แต่จะอธิบายแค่ประเด็นเรื่อง “จิตประภัสสร” ก็พอ ไว้เป็นพื้นฐาน
ดังจะอธิบายในบทความดังต่อไปนี้ครับ
๑ การค้นพบจิตโดยพระสมณโคดม
ก่อนหน้านี้พราหมณ์มีภูมิปัญญาเรื่องวิญญาณ
และคิดว่าวิญญาณคืออาตมัน คือตัวเราแท้จริง ไม่ใช่ร่างสังขารนี้
จนมีความเชื่อว่าวิญญาณเป็นอมตะ และกลายเป็นที่มาของคำว่า “อัตตา” ในที่สุด แต่ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าอาตมันกับอัตตาคนละตัวกัน
เมื่อใดที่เราหลงคิดว่าวิญญาณคืออาตมันและเป็นอมตะ นี่ละ อัตตาจะเกิดแล้ว
กลับมาที่พระสมณโคดมท่านได้ตรัสรู้และค้นพบ “จิต”
ในขณะที่พราหมณ์ยุคนั้นไม่มีใครทราบมาก่อน นับเป็นความขัดแย้งทางความเชื่ออย่างแรง
เพราะพราหมณ์หลงคิดว่าอาตมันคือวิญญาณแต่พระสมณโคดมกลับค้นพบจิตไม่ใช่วิญญาณ
ท่านได้จำแนกวิญญาณไว้ในขันธ์ห้าไม่ต่างจากสังขารครับ
๒ การรจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคใหม่
มีการกล่าวว่าจิตมี
121 ดวง ทว่า นี่ไม่ใช่จิตประภัสสรนะ
เป็นสิ่งที่เรียกว่าจิตสังขาร หรือก็คือสิ่งที่ไม่มีจริงนี่ละ
แต่สมมุติบัญญัติไว้เพื่อเวลาที่เราปฏิบัติวิปัสสนา จะเป็นเครื่องช่วยเท่านั้นเอง
เหมือนคำว่า “พุทธโธ” ถามว่าคือสัจธรรมอะไรหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่อะไรหรอก แค่เป็นการบริกรรมเพื่อทำให้เกิดสมาธิ
เวลาที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออก ก็ให้บริกรรมพุทธโธ เท่านั้นเอง เช่นกัน จิตสังขาร 121 ดวงนี้
ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่เป็นสมมุติที่เขาบัญญัติไว้เพื่อช่วยในการปฏิบัติวิปัสสนาเท่านั้นเอง
จิตที่เป็นสัจธรรมจริงๆ มี 1 เดียว
คือ “จิตประภัสสร” นะ ไม่มีจิตอื่น จิตประภัสสรนี้ไม่ใช่จิตพุทธะนะ คนละตัวกัน
จิตพุทธะไม่ใช่ของเถรวาทนะ
๓ จิตประภัสสรแท้จริงคืออะไร?
คือ ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดาที่ไม่เที่ยง อนิจจัง
อนัตตานี่ละ แต่ก่อเกิดจากเหตุปัจจัยปรุงประกอบกันมาจนเป็นจิต เมื่อพิจารณาเป็นธาตุคือ
“มโนธาตุ” เป็นธาตุรู้ เป็นตัวรู้แต่มีกำลังหยั่งรู้ไม่เท่ากัน
กำลังหยั่งรู้เรียกว่า “ญาณ” เช่น อาสวักขยญาณ, สัพพัญญูญาณ ฯลฯ แตกต่างกันไป
พระอรหันต์มีอาสวักขยญาณแต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสัพพัญญูญาณ
ส่วนพระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูญาณ ดังนั้น
จะบอกว่าจิตของพระอรหันต์เหมือนกับพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ได้ จะบอกว่าจิตทุกดวงเป็นพุทธะหมดก็ไม่ได้
แต่บอกว่าสรรพจิตทั้งหลายไม่ว่าจิตของหมา, แมว, คน ล้วนเป็น “จิตประภัสสร”
เหมือนกัน เช่นนี้ได้ ซึ่งจิตประภัสสรนั้นเป็นธาตุรู้อยู่ในตัวเองแล้ว
๔ จิตประภัสสรต้องผ่านการเลื่อนระดับก่อน
การเลื่อนระดับจะทำให้จิตนี้มีญาณหยั่งรู้ที่สูงขึ้นได้
หากจิตยังไม่ผ่านการเลื่อนระดับไปสู่ระดับพุทธะจะมาบอกว่าเป็นจิตพุทธะไม่ได้
ดังนั้น แม้สรรพจิตทั้งหลายจะเป็นจิตประภัสสรคือ บริสุทธิ์อยู่แล้ว ดังคำกล่าวว่า
“กระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด” จิตประภัสสรก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว
ไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์อีกเช่นกัน แต่ก็ต้องการเลื่อนระดับครับ
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีญาณหยั่งรู้ขั้น “ปัญญาญาณ” หรือบรรลุธรรมอะไรได้เลย ดังนั้น
คำสอนที่ว่า “ทำจิตใจให้บริสุทธิ์”
นั้นย่อมไม่ใช่คำสอนที่ถูกต้องเพราะคำสอนที่ถูกต้องจริงๆ คือ จิตประภัสสรนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้ว
“กระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด” การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนั้นจึงไม่ใช่คำสอนที่ถูกต้องครับ
๕ ธรรมะ
ธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่งจิตอีก
พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าถึงธรรมะ
ธรรมชาติที่แท้จริงได้ ไม่ใช่ให้เราเสแสร้ง ปรุงแต่ง แกล้งทำให้จิตของเราดูดีในสายตาใคร
หรือให้สังคมมายกย่อง ยอมรับเราก็หาไม่เพราะการสร้างทำ เช่น “ทำจิตใจให้บริสุทธิ์”
นั้น ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมชาติจริง เป็นแค่การปรุงแต่งจิตเท่านั้นเอง ดังนั้น
คำกล่าวที่ว่า “กระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด” ก็มีความหมายสอดคล้องกับคำว่าจิตประภัสสรด้วย
คือ บริสุทธิ์อยู่แล้วไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์อีก แต่เราต้องฝึกจิตเพื่ออะไร?
ก็เพื่อพัฒนาพละห้าให้มีศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา
ที่เข้มแข็งพอที่จะรับความเป็นจริงได้
บางท่านไม่สำเร็จธรรมเพราะอินทรีย์ห้ามีกำลังอ่อน เช่น สมาธิต่ำ ไม่ใช่เพราะจิตไม่บริสุทธิ์ครับ
พระอรหันต์ปัญญาวิมุติก็มีกิเลสได้
ไม่จำเป็นต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น